- formatting
- images
- links
- math
- code
- blockquotes
- external-services
•
•
•
•
•
•
-
Who is Dick? on the top of CalTech Library
เราคิดถึงคุณดิกกกก (อ่านชื่อแล้วคิดดีไม่ได้เลย)
We miss youuuu Dickkkk! (Okay… reading that name in English, you just can’t think innocent thoughts 😂)
At first glance, I thought “wait…what??”
Because in slang, Dick = little Pikachu ⚡️
But then Dr. Bunchar Tanaboonsombat kindly explained with a photo…
Ohhh right, it’s the nickname for Richard!So who was the mysterious Richard that got such a bold love confession on top of our university library building?
❤ None other than the extraordinary Richard Feynman ❤
Nobel Prize–winning physicist, and one of the most beloved science teachers of all time.His students loved him so much that even 30 years after his passing, they hung this tribute up high on campus.
And honestly, if you’ve ever read or listened to Feynman, you’d get it—he wasn’t just brilliant, he was hilarious. You can check out Dr. Buncha’s podcast (super fun storytelling, even featuring Maxwell recently!).
💡 Now, how does a biologist like me end up lost in Feynman’s world?
Well… it started with me struggling to write a “statement of purpose” for my scholarship report.I love research. I don’t hate teaching. I actually enjoy tutoring friends and juniors.
But if I had to give up research? I’d probably dry up and die 🌱☠️This impressed me that 'The two sides of the coin benefit each other.'While the importance of research for a teaching professor is clear,my question was the opposite: 'If I love doing research, why do I need to teach?'That’s when I remembered a talk by Prof. Jisnuson Svasti., who once flashed this slide: “Teaching and research: Opposite faces of the same coin?”
This is the article: Teaching and research: Opposite faces of the same coin?
And it clicked.
If you love research, teaching isn’t just an obligation.
It’s a way of crystallizing ideas, throwing them like little research boomerangs 🪃 at students, and then watching those ideas grow bigger than you imagined.
So, here I am. Writing scholarship reports ✍️, reading Feynman’s stories, and following Dr. Buncha’s shows like a fangirl.
And somewhere along the way, I realized:
Maybe I don’t have to choose between teaching and research.
Maybe both sides of the coin can make life… balance. 😉
#RichardFeynman #Science #Research #Teaching #CareerPath #Inspiration #AcademicLife #DrBanchaRead more: The Whispers of Biology’s content table -
เราคิดถึงคุณดิ๊กกกก (อ่านชื่อแล้วคิดดีไม่ได้เลย)
เราคิดถึงคุณดิกกกก (อ่านชื่อแล้วคิดดีไม่ได้เลย)
แวบแรกก็คือคิดดีไม่ได้Dick เป็นสแลงค์ = เจ้าปิกัสจู นั่นเองแต่คนที่ส่งภาพนี้มาให้คือ ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติแล้ว อ บัญชา ก็อธิบายต่อไปด้วยภาพด้านล่างเลยถึงบางอ้อว่า อ๋ออออ ชื่อเล่นของ Richard!ก็ถึงว่าใครจะไปบอกรักปิกัสจูอยู่บนยอดตึกห้องสมุดของมหาลัยขนาดนี้ 😆บอกรักกันขนาดนี้ ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ❤คนไม่ธรรมดาที่ถูกบอกรักบนยอดตึกหอสมุด ❤
คนไม่ธรรมดาคนนั้นคอ Richard ที่ชื่อดังก้องโลกวิทยาศาสตร์Richard Feynman นักฟิสิกส์เจ้าของรางวัลโนเบลFeynman คงเป็นคนที่ลูกศิษย์รักมากๆภาพนี้ลูกศิษย์เค้าไปแขวนไว้บนหอสมุดหลังจากที่เค้าจากไปแล้วถึง 30 ปีเรื่องราวของ Feynman มีเล่าไว้ใน podcast โดย อ บัญชา ฟังเพลินสนุกมากเป็นนักวิทยาศาสตร์อารมณ์ดีเลยทีเดียวตามฟังไว้ได้ที่ Link นี้เลยเรื่องราวของ Feynman ดังหลุดโลกฟิสิกส์มาถึงนักชีววิทยาอย่างเราได้อย่างไร🧬
เรื่องมันเริ่มมาจากต้องเขียนจดหมายรายงานตัวใช้ทุนกับคิดไว้ลางๆ สักหน่อยว่าหากถูกถามว่าอยากทำงานแนวไหน คงต้องมีคำตอบหลังจากที่คิดหนักมากแต่คิดไม่ออก วิจัยก็ชอบมากๆ งานสอนก็ดูไม่แย่ เพื่อนๆ น้องๆ ชอบให้ติวหนังสือ อาจารย์คณบดีตอน ป ตรี ก็ยังจำได้เลยว่าติวหนังสือให้เพื่อนบ่อยๆ ตอนมาเรียน ป เอก ก็ชอบแกล้ง/สอน น้องๆฝึกงานแต่ถ้าขาดวิจัย คงถึงกับเฉาตายตกลงเอาไงดีแงงงงงนึกขึ้นได้ถึงสไลด์หน้าหนึ่งที่อาจารย์ชิษณุสรร สวัสดิวัตน์เคยหยิบขึ้นมาพูดช่วงทีมีข่าวเรื่องคนซื้อขายงานวิชาการเพื่อตีพิมพ์กันเยอะๆ
ส่วนหนึ่งที่อาจารย์พูดในวันนั้นก็คือสไลด์ด้านล่างนี้“ทั้ง 2 ด้านของเหรียญต่างให้ประโยชน์แก่กันและกัน”เรื่องนี้น่าสนใจมาก ถึงกับต้องตามไปอ่านบทความเมื่อปี 2006 ที่อาจารย์ชิษณุสรรเขียนไว้
บทความชื่อ Teaching and research: Opposite faces of the same coin?
ท่ามกลางความสำคัญว่าทำไม“อาจารย์ที่น่าจะสอนเป็นหลัก ก็จำเป็นต้องทำวิจัย”คำถามของเราคือตรงกันข้าม“แล้วถ้าเราชอบทำวิจัยหล่ะ เราต้องสอนเพื่ออะไร”แต่ก็มีคำตอบกลายๆ ไว้ในบทความแล้วดูเหมือนการทำวิจัยอาจจะไม่ใช่แค่การพุ่งไปข้างหน้าแต่ได้ย้อนกลับมาตกผลึกหลายๆอย่างและน่าจะดีไปกว่านั้นถ้าได้คายตะขาบความวิจัยแบบดีดๆให้ใครสักคนต่อแล้วค่อยๆเฝ้ามองเค้าเติบโตในวงการวิชาการนั่นเลยเป็นข้อสรุปของการเขียนจุดหมายรายงานตัใช้ทุนพร้อมๆกับเป็นจุดเริ่มต้นของการอ่านเรื่องราวของ Feynman และติดต่อ อ.ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติเพราะอ่านประวัตินักฟิสิกส์จากหนังสือของอาจารย์มาหลายเล่มเลยล่าสุดอาจารย์ก็มี รายการ Eureka ท่องโลกวิทยาการณ์ เล่าสนุกฟังเพลินมากเลย ล่าสุดมีตอน Maxwell ด้วย คุ้นๆชื่อหล่ะสิ ตามไปฟังกันได้เลย -
From Cell line to Command Line & The most Headachest person 🤣
J -
#นศภAndTheWard #นศภAndTheDrugStore ตอน #มาม่าวันแม่ (2/3)
#นศภAndTheWard #นศภAndTheDrugStore ตอน #มาม่าวันแม่
จากประโยคที่ค้างไว้ว่า "ยังไงก็ขายให้ไม่ได้ค่ะพี่ พาแม่ไปโรงพยาบาลดีกว่านะคะ" เรื่องแรกนี้คล้ายกับเรื่องมาม่าดัง ๆ ที่ลูกค้าจะมาซื้อยาให้ได้ และอีกเรื่องก็คือ "#เค้าเป็นเลือดเนื้อของพี่นะ พี่จะทำเค้าได้ลงเหรอ" ที่ทำเอา นศภ. และพี่เภสัชถึงกับอึ้งกันไปทั้งคู่ เรามาดูกันว่าเรื่องราวเป็นยังไงบ้าง
เคสแรก: "ยังไงก็ขายให้ไม่ได้ค่ะ"
เป็นเรื่องของสองนักศึกษาเภสัชหน้าตาจิ้มลิ้ม ที่มีแม่ (อายุประมาณ 70 ปี) และลูก (อายุประมาณ 40 กว่าปี) เข้ามาในร้าน
ลูก: "ซื้อยาเบาหวานให้แม่ค่ะ ยาเป็นแผงเงิน ๆ เม็ดสีขาว"
นศภ.: (หยิบยาแผงฟอยล์สีเงินเม็ดขาวที่มีนับไม่ถ้วนมาให้ดู) "ลักษณะคล้ายอันไหนคะ ปกติคุณป้ากินยังไง รับยาที่ไหนอยู่ ขาดยานานเท่าไหร่คะ"
ลูก: (เริ่มไม่แน่ใจและตอบไม่ถูก) "เอาแผงเงิน ๆ แบบนี้แหละค่ะ เอาไปให้แม่กินก่อน" พร้อมพยายามพูดสารพัดเพื่อให้ขายยาให้ได้ ในขณะที่คุณแม่ก็ช่วยพูดด้วยสีหน้านิ่ง ๆ
นศภ. (น้ำทิพย์) เริ่มหันหน้ามองเพื่อนและคิดในใจว่า "เอาไงต่อดีวะ? ฉันไม่มีทางขายให้แน่ ๆ" แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นรอยคล้าย ตะขาบเกาะบนหน้าอก ของผู้เป็นแม่ จึงได้จังหวะถามเพิ่ม
นศภ. (น้ำทิพย์): "คุณป้ามีโรคประจำตัวอะไรบ้างไหมคะ"
แม่: "เคยผ่าตัดหัวใจ"
นศภ. (น้ำทิพย์): "อ๋อ! เป็นโรคหัวใจเหรอคะ? งั้นคงขายยาให้ไม่ได้นะคะป้า เพราะไม่มีตัวอย่างยาหรือซองยามาเลย ยาเบาหวานมีเยอะมาก ถ้ากินผิดอันตรายมากนะคะ ยิ่งคุณป้าเคยผ่าตัดหัวใจด้วย ถ้ามียาเดิมมาจะยังพอขายให้ได้ค่ะ"
สองแม่ลูกบ่นพึมพำแล้วก็เดินออกจากร้านไป นศภ. (น้ำทิพย์) รู้สึกโล่งใจเหมือนชนะ แต่นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น...
เช้าวันถัดมา สองแม่ลูกกลับมาอีกครั้ง!
ลูก: "พี่เอายามาให้น้องดู" (ลูกสาวยื่นถุงให้พร้อมยาที่เป็นเม็ดสีขาวแค่ครึ่งซีก) "ยาของแม่ที่เคยกิน ซองลิงมันขโมยไปแล้ว เหลือแค่นี้"
นศภ. (น้ำทิพย์): (หยิบยาครึ่งซีกนั้นมาดู) ยาลักษณะกลม แบน มีตัวอักษรเขียนว่า RA นศภ. เลยค้นถุงยาต่อและเจออีกครึ่งหนึ่ง เมื่อนำมาต่อกันก็อ่านได้ว่า PARA
นศภ. (น้ำทิพย์): (ยื่นเม็ดยาให้ลูกค้าดู) "พี่ลองดูนี่สิคะ นี่ต่อกันแล้วได้คำว่า PARA มันคือยาพาราลดไข้นะคะ ไม่ใช่ยาเบาหวาน"
ลูก: "แม่ ๆ (พูดภาษาใต้) นี่มันยาพารา ไม่ใช่ยาเบาหวาน แม่หยิบผิดอีกแล้ว" (ว่าแม่ตัวเอง)
นศภ. (น้ำทิพย์): ได้แต่ยิ้มในใจอย่างสะใจ
ลูก: "งั้นพี่ซื้อยาเบาหวานให้พ่อ เอาแบบที่น้องให้ดูเมื่อวาน"
นศภ. (น้ำทิพย์): (เริ่มสงสัยในเจตนา) "พ่อพี่น้ำหนักเท่าไหร่คะ สูงเท่าไหร่ เป็นเบาหวานมานานยัง"
เมื่อได้ข้อมูล นศภ. ก็ประมวลผลและรู้สึกว่าคำตอบของลูกสาวไม่น่าเชื่อถือ จึงตอบไปว่า "พี่ต้องเอาตัวอย่างยาที่ลุงเคยทานมาให้ดูก่อนนะคะ หนูขายไม่ได้ค่ะ"
ในที่สุดสองแม่ลูกก็บ่นกันเองจนรู้ว่าแท้จริงแล้วคือจะซื้อยาไปให้แม่กินนั่นแหละ นศภ. จึงยืนยันคำเดิมอย่างหนักแน่นว่า "ยังไงก็ขายให้ไม่ได้ค่ะพี่ พาแม่ไปโรงพยาบาลดีกว่านะคะ" และอธิบายเรื่องความอันตรายของยาเบาหวานกับโรคหัวใจให้ฟังจนผู้เป็นแม่ยอมไปโรงพยาบาลในที่สุด
เคสที่สอง: "#เค้าเป็นเลือดเนื้อของพี่นะ"
เคสนี้เป็นเรื่องของการทำแท้ง บ่ายวันหนึ่งมีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาซื้อที่ตรวจครรภ์ และวันรุ่งขึ้นเธอก็กลับมาถามหายาขับเลือด
ลูกค้า: "น้องมียาขับเลือดไหม"
พี่เภสัช: "ไม่มีค่ะพี่" (นศภ. ที่ฝึกงานถึงกับอึ้ง)
ลูกค้า: "เมื่อวานพี่มาซื้อที่ตรวจครรภ์ มันขึ้น 2 ขีด"
พี่เภสัช: "หนูก็บอกพี่หลายครั้งแล้วเรื่องยาคุมฉุกเฉิน..." (หมายความว่าเธอเคยมาปรึกษาเรื่องยาคุมฉุกเฉินแล้ว)
ลูกค้าก็พูดต่อว่าเลี้ยงลูกไม่ได้แล้ว เพราะมี 4 คนแล้ว
พี่เภสัช: "เค้าเป็นเลือดเนื้อของพี่นะ พี่จะทำเค้าได้ลงเหรอ" #พี่กำลังจะเป็นฆาตกรฆ่าคน เลยนะ ถ้าลูกคนนี้เกิดมาเป็นลูกที่เลี้ยงดูพี่ เป็น #ลูกหัวแก้วหัวแหวน ของพี่ล่ะ"
ลูกค้าเดินออกจากร้านไปด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า นศภ. ทั้งคู่ต่างก็ชื่นชมพี่เภสัชในใจว่าสุดยอดมาก เพราะพี่เภสัชสามารถรับมือกับสถานการณ์นี้ได้อย่างดีเยี่ยม
สาระดี ๆ เรื่องการคุมกำเนิด
การคุมกำเนิดมีหลายวิธี ทั้งยาคุมแบบกินทุกวัน ยาฉีด แผ่นแปะคุมกำเนิด และถุงยางอนามัย
ถุงยางอนามัย เป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะนอกจากจะคุมกำเนิดแล้ว ยังป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ด้วย แต่ก็ไม่ได้คุมได้ 100%
ยาคุมฉุกเฉิน ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด แต่เป็นวิธีที่สะดวกที่สุด ประสิทธิภาพต่ำกว่ายาคุมปกติ และอาจส่งผลกระทบต่อระดับฮอร์โมนและรอบเดือนในระยะยาวได้ แต่ถ้าฉุกเฉินจริง ๆ ก็ควรใช้
ไม่ว่าจะใช้วิธีคุมกำเนิดแบบไหนก็ตาม สามารถปรึกษาเภสัชกรที่ร้านยาได้เสมอ เภสัชกรไม่ตัดสินคุณ แต่กลับยินดีที่ได้ให้คำแนะนำมากกว่าการมาปฏิเสธเรื่องยาทำแท้ง
ข้อคิดสุดท้าย: ป้องกันไว้ดีกว่านะคะ คิดถึงอนาคตให้มาก ๆ ไม่ใช่แค่ความสนุกชั่วคราว...เขียนเมื่อ 14 สิงหาคม 2558 -
#นศภAndTheWard ตอน #มาม่าวันแม่ (1/3)
#นศภAndTheWard ตอน #มาม่าวันแม่
เนื่องในโอกาสวันแม่ ข้า(พเจ้า)จะนำเสนอมุมมองของ นศภ.ที่มีต่อผู้ป่วยซึ่งมียศศักดิ์ในครอบครัวว่า"แม่"...เรื่องดราม่ามีมากมายฮ่ะ เล่าเป็น case ไปแล้วกัน...เรื่อง... แม่ ลูก ผูกพันธ์กับ ถุงลมโป่งพอง(COPD)
Pt ญ อายุประมาณ 60 กว่า รายหนึ่งนอน รพ อาการหอบเหนื่อย เพราะเป็นโป่งพองมานาน 10 ปี ที่ต้องนอน รพ เพราะหายใจหอบเหนื่อด้วยโรคกำเริบ พ่นยา(แบบครอบจมูกอ่ะ nebulizer) ใส่สายให้ออกซิเจนแบบเสียบจมูก(O2 cannular) หายใจหอบเหนี่อยดูประวัติไม่สูบบุหรี่ ไม่มีอะไรที่เสี่ยงเลย แต่....ประวัติอย่างหนึ่งคือ "ลูกชายสูบบุหรี่ในบ้านทุกวันมาเป็นสิบๆปี" #จบข่าว นศภ. ตามชาทแล้วเงิบ ป้าทั้งหอบ ทั้งไอ น่าสงสารเรื่อง....ยาแม่แก่ใครจะดูแล
case หลาย case ใน ward เป็น ญ สูงอายุ(แบบสูงมาก 70 80 กว่า) พอหมอราวน์ถามว่า "ยายยยยยยย.....ใครเอายาให้ยายกิน" (เสียงอาจารย์หมอลอยเข้ามาในหูขณะพิมพ์เลย ฮึ๋ยยย) เงียบ คนเฝ้าไข้ตอบไม่ถูก โยนไปให้ลูกคนโน่นที คนนี้ที ยายบางคนขาดยาเป็นปีๆ บางคนไม่เคยตรวจสุขภาพเลย โรคเงียบเพียบ ทั้งเบาหวาน ความดัน ไขมัน วันนี้มาด้วยสมองขาดเลือด(Stroke) ปากเบี้ยว แขนขาอ่อนแรง บางคนนอนใส่เครื่องช่วยหายใจ (ET tube) สายพะรุงพะรัง บางคนถึงขั้นต้องให้อาหารทางสายยาง(NG tube) ดูมันเจ็บและทรมานมากอ่ะ มันเจ็บจนคนไข้หลายคนพยายามดึงออก T____T ราวน์ที่น้ำตาจิไหล มาม่าเยอะไป ไวไวควิก ไม่มีเลยเจอเรื่องชั่วร้ายมาเยอะ มาดูเรื่องดีดีบ้าง
ลูกที่น่ารักก็มีเยอะ และแม่ที่น่ารักก็มีเยอะ ใน ward มีคนไข้ก็ต้องมีคนดูแล รพ รัฐที่น้อยนัก คนไข้เองก็แทบจะขี่คอกันนอน รพ แต่กระนั้นก็มีคนไข้เฝ้าอยู่ร่ำไป แล้วคนเฝ้านอนที่ไหน...ตามทางเดิน ปูเสื่อ กางมุ้ง บางคนนอนใต้เตียงคนไข้ บางคนฟุบบนเตียง ป้อนข้าว ป้อนยา เช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้า หลายเตียงที่แม่มาเฝ้าลูกทุกวัน ไปward กี่ทีเจอตลอด และเจอบ่อยเหมือนกันที่ลูกมาเฝ้าแม่ ตั้งแต่เด็กอนุบาลตัวน้อยๆแอบไปนั่งบนเตียงกับแม่ ไปจนถึงลูกๆวัยผู้ใหญ่ แม่บางคนอ้อนวอนหมอเพื่อจะขอกลับบ้านพร้อมน้ำตาคลอเบ้าด้วยเหตุผลที่ว่า "ลูกที่มาเฝ้าหนูจะกินอะไรหล่ะหมอ" ข้าพเจ้านึกไม่ออกว่าจะกลับบ้านได้ยังไง อาการไม่ใช่น้อยๆเลย (Problem list มาเป็นทาง) แถม ญ ผอมแห้งคนนี้ยังมาพร้อมกับโรคประจำตัวที่คาดไม่ถึง ป้องกันไม่ได้ เพราะสาเหตุยังไม่รู้เลย...CA brain หรือมะเร็งสมอง แน่นอนว่าเมื่อศูนย์บังคับบัญชารวน ทุกระบบในร่างกายก็พลอยวุ่นไปด้วย....เรื่อง #มาม่าวันแม่ ในโรงพยาบาล คงจบแค่นั้น ...ราวน์ไปน้ำตาจะไหลทั้งซึ้ง ทั้งสงสาร...เรื่องมาม่าเกี่ยวกับแม่ในร้านยาก็มีอยู่เหมือนกัน ประโยคเด็ด หึหึ "ยังไงก็ขายให้ไม่ได้ค่ะ พี่พาแม่ไป รพ ดีกว่านะคะ" "เค้าเป็นเลือดเนื้อของพี่นะ พี่จะทำเค้าได้ลงเหรอ" เงิบซะทั้ง นศภ. ทั้งพี่เภสัชแหล่งฝึกมามีสาระสักนิด ...เมื่อไหร่ที่ควรตรวจสุขภาพ...
โดยส่วนตัวคิดว่าถ้าอายุ 40 ปี ขึ้นไปก็ควรไปตรวจได้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคพวกนี้ภัยเงียบพาลจะล้มหมอนนอนเสื่อ เอาได้ง่ายสำคัญเพศ ญ โรคที่ยอดฮิตคือ มะเร็งเต้านม อันนี้ตรวจเองได้ อีกโรคคือมะเร็งปากมดลูก ควรตรวจตั้งแต่อายุ 35 ปี นะจ๊ะ...ข้อมูลการตรวจและคัดกรองความเสี่ยงลองหาใน Internet โดยใช้คำค้นว่า "คัดกรอง เบาหวาน" "คัดกรอง ความดันโลหิตสูง"#จบข่าว ก็ข้าอยู่ ward สตรีนี่นา กิกิติดตามงานเขียนเมาๆ โดย นศภ.รั่วๆ ได้ตาม hashtag #นศภAndTheWardเขียนเมื่อ 13 สิงหาคม 2015