- formatting
- images
- links
- math
- code
- blockquotes
- external-services
•
•
•
•
•
•
-
Vibe Coding: When everything in coding is thrown to AI 🤖
"Vibe Coding: When everything in coding is thrown to AI." 🤖
That was the real eye-opener from yesterday's Sunday AI Webinar, where I got to hear from some super smart folks in AI, economics, and medicine.
What's Vibe Coding? 🤔
Basically, it's when you just tell AI to write your code or fix your errors. You know, like, just copy-pasting the error message and letting the AI do its thing. At first, it's awesome! Super fast, seems like a shortcut. But then, as one of the speakers, Dr. Piyalitt Ittichaiwong, pointed out,
you can end up feeling super bummed out.
Why? 'Cause you hit a bug and get stuck in this endless loop you can't get out of. And for real, that's exactly what happens! 😵💫I'm not even a proper coder myself – I actually studied pharmacy!
My first coding attempts were pretty messy, and I totally hit that "build it, break it, repeat" cycle. That's when I realized I needed to go back to square one.
Why Fundamentals Rule! ✨
Going back to basics was a game-changer. I learned that:
Coding is just about thinking step-by-step. The language (like Python or R) is just a tool; if you think logically, you can switch between them.
The real pro skill? Fixing bugs! 🛠️ Seriously, the more bugs you wrestle with and win, the more experience you rack up.
For computational biologist 🧬
And here's the kicker, especially for fields like computational biology. It's not just about debugging code itself. You really need to understand the biology behind it and work super closely with wet lab researchers. Without that deep biological insight and collaboration, even the best code won't give you meaningful answers when things go wrong. It's about combining coding know-how with domain expertise.
So, if you're thinking about learning to code from the ground up, I can't recommend Harvard's CS50 course with Professor David Malan enough. It's free, and it's seriously good stuff. I took it right before ChatGPT blew up, and yeah, I had moments where I thought, "Ugh, everyone's just vibe coding now, was this even worth it?" But honestly, I feel so incredibly lucky now that I did. That solid foundation helps me actually solve problems and think like a proper developer. Plus, it involved lots of dog petting when I got stuck, so win-win! 🐶😻
#NamthipPhDstory #VibeCoding #CodingJourney #CS50 #LearningToCode #Programming #AI #ChatGPT #ComputationalBiology #Debugging #TechTalk
-
Vibe Coding: เมื่อทุกสรรพสิ่งของ coding ถูกโยนให้ AI ทำ
Vibe Coding: เมื่อทุกสรรพสิ่งของ coding ถูกโยนให้ AI ทำ
เป็น talk ที่รวมมหาเทพเลยทั้งคุณต้นสน(สายเศรษฐศาสตร์) จารย์อ๋า(สายแพทย์) พี่ทอย(สายเป็ด แต่เทพทุกสิ่ง) และโฮสโดยคุณโชค (เทพ digital media)ประเด็นมีเยอะมากๆ ฟังยาวๆไม่มีเบื่อเลยครัช ตามไปดูได้ที่นี่เลยอันนึงที่ติดใจอยากเขียนวันนี้คือ Vibe codingซึ่งมันคือการที่เราไปบอกให้ AI เขียนโค้ดให้แก้ error ให้โดยแบบก็อบ error โยนไปทั้งยวงเลยจารย์อ๋าบอกว่าแรกๆก็ดี เริ่มไว ไปไวเลยแต่ทีหลัง depress แทน 55555เพราะติด bug แล้ววนลูปวนมันอยู่อย่างนั้นแหละแก้ไม่ได้แล้วคือจริง!!!!ส่วนตัวไม่ใช่สาย coder เลยมามั่วๆเอาเอง จบเภสัชมา ><เขียนโค้ดอันแรกคือ html กากๆ ตอน ม.4ทำเว็บ NO CANCERถ้าใครถามว่าจะเรียน coding ยังไงก็มีหลายคำตอบจะจัดเต็มตั้งแต่พื้นฐานจะเอาแบบเฉพาะสายงาน หรือ vibe coding ก็ได้แต่ 2 แบบหลังคือรู้สึกว่าเป็นการไปข้างหน้าแบบงูๆปลาๆนอกเหนือจาก routine work คืออาจจะพลิกแพลงไม่ได้หล่ะติด bug แล้วตายไปปปปป ทรงนั้นเลยแต่ถ้าเอาแบบพื้นฐาน ข้อดีคือแน่นๆพลิกแพลงได้แต่ก็นั้นแหละใช้เวลามากในช่วงเริ่มต้นเคยลองแบบ 2 มาแล้วผลคือได้ก็คือพังแล้วพังอีกเลยมาเริ่มพื้นฐานใหม่แบบยกเครื่องเลยซึ่งดีเลยนะกลายเป็นว่าCoding คือกระบวนการคิดเป็นลำดับขั้น
ภาษาต่างๆก็คือ syntax ถ้ากระบวนการดี แค่เปลี่ยนภาษาเช่น R ไป Unix/Python ก็ยังรอด
และ Skill ที่เปรี้ยวสุด ที่เพิ่มพูนตามประสบการณ์ของ Coder คือ การแก้ bug (bug ยิ่งเยอะ ยิ่งมากประสบการณ์ 555+)
เพราะความพังท่วมหัวเอาตัวไม่รอดคือ bug ที่แก้ไม่ออกนี่แหละใครสนใจตั้งแต่พื้นฐานแนะนำคอร์ส CS50 ของ Prof. David Malanวิชา Com Sci ของ Harvard (เรียนฟรี จะไม่ได้ใบ cer)เดี๋ยวเขียนเรื่องนี้โพสต์ต่อไป >< ยาววววเราเรียน CS50x ก่อน ChatGPT เกิดนิดหน่อยตอนนั้นก็นอยด์ๆนะแหม่...คนอื่นใช้ Vibe code เอาก็ได้แต่ตอนนี้รู้สึกโชคดีมากตอนเรียน CS50x เรียนไป เขียน code ไม่ได้ก็เดินไปลูบหมาที่บ้านลูบๆไป คิดออก ก็วิ่งกลับมาเขียนต่อลูบจนหมาจะขนร่วงหมดละ 555ขอบคุณลมมี่แมวยักษ์ประจำเรือนไว้ ณ ที่นี้ -
ภาพวาดของผู้ทรงศักดิ์ในหอสมุดศิริราชและเป็นที่มาของชื่อพิพิธภัณฑ์
ภาพวาดของผู้ทรงศักดิ์ในหอสมุดศิริราชและเป็นที่มาของชื่อพิพิธภัณฑ์
รูปของกรมพระราชวังบวรสถานภิมุข จะเจอได้ที่ตึกอดุยฯ กับหอสมุดของศิริราช
ช่วงเดือนที่ผ่านมาเป็นช่วงที่เรียนตึกนี้เกือบทุกวันตึกอดุยลเดชวิกรมของศิริราช ซึ่งด้านบนเป็นพิพิธภัณฑ์.เข้ามาใต้ตึกทีไรก็เห็นใครๆยกมือไหว้ ทำความเคารพรูปวาดพระบิดาในรัชกาลที่ 9แต่ไม่ค่อยมีใครสังเกตรูปวาดของบุคคลท่านนี้กันมองผ่านๆ อาจจะนึกว่าเป็นรูปรัชกาลที่ 1.พื้นที่นี้เป็น รพ. ศิริราช ได้ส่วนหนึ่งก็เพราะท่านนี้หล่ะ.ถ้ารู้จักศิริราชก็คงรู้จักวังหลังซึ่งวังหลังเป็นพระราชวังเดิมของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระอนุรักษ์เทเวศร์กรมพระราชวังบวรสถานภิมุขซึ่งทรงเป็นกรมพระราชวังบวรสถานภิมุข(ตำแหน่งวังหลัง)ในรัชกาลที่ 1.ท่านมีศักดิ์เป็นหลานของรัชกาลที่ 1และยังเป็นเสมือนขุนศึกข้างพระวรกายหลังจากนั้นมาไทยก็ไม่มีตำแหน่งวังหลังอีกเลยพื้นที่ของวังหลังจึงไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากมายอย่างวังหน้า.ช่วงรัชกาลที่ 5 วังหลังจึงถูกเปลี่ยนเป็นรพ.ศิริราช(ศิริราชมาจากชื่อพระโอรสในรัชกาลที่ 5).ศิริราชมีเรื่องราวมากมายพิพิธภัณฑ์ก็มีถึง 4 แห่งแต่ก็ยังไม่เคยไปเลยสักที่เดียวฝุ่นคงจะเยอะ แอบเสียดายนะเนี่ยปล. รูปของกรมพระราชวังบวรสถานภิมุขจะเจอได้ที่ตึกอดุย กับหอสมุดของศิริราชส่วนเรื่องราวของวังหลังมีให้เจอเยอะมากร่องรอยกำแพงเก่าแถวศิริราชปิยะซึ่งเป็นแนวยาวไปถึงแถวๆวัดระฆังปล2. ท่านนี้เป็นหลานของรัชกาลที่ 1 (ลูกของพี่สาว)เขียนเมื่อ 10 สิงหาคม 2019FB post: https://www.facebook.com/share/p/1B6Tki5QqC/ -
พระคุณของคุณยายขายโตเกียวหน้าโรงเรียน
พระคุณของคุณยายขายโตเกียวหน้าโรงเรียน
เมื่อเกือบ 20 ปีก่อน แสงแดดสีทองยามสาดทั่วท้องฟ้าใกล้เวลาที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าเข้าทุกครั้งเด็กตัวกลมๆ ผมม้าในชุดนักเรียน ป.1 ใหม่เอี่ยมกำลังนั่งบนเก้าอี้พลาสติกเก่าๆตัวหนึ่งพร้อมกับหน้าตาละห้อยรอคอยพ่อแม่มารับกลับบ้านไม่ไกลกันนัก มีผู้หญิงสูงวัยคนหนึ่งยืนม้วนขนมโตเกียวแล้วใส่ลงถุงกระดาษอย่างชำนาญที่ทำงานของเธอก็คือร้านรถเข็นคันเล็กๆมีเก้าอี้นั่ง 1 ตัว แต่เธอได้สละมันให้แก่เด็กหญิงผมม้าไปแล้วแม้จะผ่านไปวันแล้ววันเล่า ภาพแบบนี้ก็ยังเกิดขึ้นเสมอตอนเวลาที่ฉันอยู่ ป.1...ใช่แล้วเด็กหญิงคนนั้นคือฉันเมื่อวัยเด็กยายขายโตเกียวที่ฉันไม่เคยรู้ชื่อเลยคือคนที่มีพระคุณต่อฉัน เหมือนคุณครูคนนึงเลยก็ว่าได้ ถ้าไม่มียายคนนึงก็อาจจะไม่มีฉันในวันนี้วันนี้ฉันกลับไปหน้า รร ประถมอีกครั้งเพื่อจะถามหายายเพราะอยากเอาของไปเยี่ยมยายแกคงดีใจนะ ถ้าเด็กคนนึงที่แกสละเก้าอี้ให้นั่งและช่วยดูแลจนกว่าพ่อแม่จะมารับในวันนั้น กลับมาเยี่ยม ^^แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะช้าไป ฉันถามหายายจากแม่ค้าเก่าๆ ทำให้รู้ว่า"ยายดาเสียไปตั้งแต่ 6-7 ปีก่อน"ของเยี่ยมจึงต้องเปลี่ยนเป็นการทำบุญแทน---------ขอบคุณยายเสมอ และจะไม่ลืมพระคุณนั้นเลยคุณยายขายโตเกียวของน้ำทิพย์ T TCr.ภาพจาก internetเขียนเมื่อ 10 สิงหาคม 2018FB post: https://www.facebook.com/share/p/1C8pHfKY8v/ -
Namthip x งานวิจัยมะเร็ง: ตอนอะไรที่ดลจิตดลใจให้เดินไปหาปริญญาเอก
...อะไรที่ดลจิตดลใจให้เดินไปหาปริญญาเอก...
ภาพด้านในตึกชีวการแพทย์ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ เรื่องราวมันยาวนานพอดู บางคนอาจจะรู้เรื่องราวนี้มาบ้างตอนนั้นอยู่ ม.2 เพราะว่ายายเสียด้วยโรคนี้ตอนนั้นก็โคตรเซ็งเลย แบบเฮ้ย ทำไมหมอให้ยายกลับบ้านหว่ะหมอต้องรักษาดิ ก็ยังเด็กน้อยอ่ะนะpalliative care อะไรไม่รู้จักทั้งนั้นหลังจากนั้นก็หาข้อมูลด้วยความแค้น 55555ซื้อหนังสือเอย ไปงานประชุม ดูข่าวพระราชสำนัก(ข่าวเจ้าฟ้าหญิงนี่หล่ะ)ไปๆมาๆจนรู้ว่าชอบมะเร็งทางด้านวิทยาศาสตร์ (มารู้เอาตอน ป.ตรี).บางคนเคยบอกว่าสนใจมะเร็งมันก็ตามเทรนก็จริงอยู่มะเร็งเป็นเทรน คนเป็นกันเยอะไม่ว่าใครก็ต้องมีใครสักคนรอบตัวเป็นมะเร็งกันบ้างแต่มันไม่ได้สำคัญว่าสิ่งที่เราสนใจจะเป็นเทรนมั้ยเพราะสิ่งที่พิสูจน์กันได้ไม่ใช่คำพูด และเราก็ได้พิสูจน์มันมาบ้างแล้ว.สำหรับเราตอนนี้มะเร็งไม่ใช่สิ่งที่ต้องแค้นเคืองแต่มันคือ passionที่ทำให้เราพยายามไปต่อในสิ่งที่เราสนใจคิดดูสิว่าจะรู้สึกดีขนาดไหนถ้าสิ่งเล็กๆที่เราทำมีประโยชน์ต่อผู้ป่วย.จะดีสักแค่ไหน ถ้าอีก 10 ปี 30 ปี หรือ 50 ปีข้างหน้าคนที่ป่วยเป็นมะเร็งแบบที่ยายเป็นจะอยู่ได้นานๆ หรือแก่ชราไปด้วยอายุขัยตัวเองจะดีแค่ไหนถ้าการรักษาใดๆก็ตามไม่ได้ช่วยคนแค่ 1แต่ช่วยได้เป็น 100 เป็น 1000.ที่รู้ว่าชอบมะเร็งแบบวิทยาศาสตร์ ก็ใช้เวลาลองอยู่นานจะชัดจริงๆก็ประมาณ ม.5 ได้รู้จักกับ อ.ชิษณุสรรเพราะค่าย thai science camp(นี่ถ้าค่ายไม่ฟรีกับมีค่าเดินทางให้นะ อดไปแน่ๆ)ขาดสอบของ รร ไปค่าย เกรียนมากนะสมัยนั้นแล้วก็ได้ไปดูแลปที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์แป๊ปนึง(แค่ไม่เกิน 2 ชม.อ่ะ) โดยมี อ.เกรียงศักดิ์ ดูแลตื่นตาตื่นใจกับการเห็นตู้เย็น -80 มาก ตลกตัวเองจัง 5555+.- พอตอนประมาณ ปี 2-3 ก็ขอ อ ในมหาลัยไปช่วยงานพวกสมุนไพร (อ.วรพงศ์) เกือบได้ทำแลปข้ามปี แต่เพราะเวลาเรียนช่วงหลังรัดตัวมาก เวลานอนยังหายากเลยต้องหยุดแค่นั้น- ปี 3 ก็กลับไปดูงานที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์อีกครั้ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับโปรตีนเป็นเวลาไม่กี่วันที่ได้ความรู้เยอะมากและเพราะที่นี่ทำให้ได้ connection ไปฝึกต่อทีคณะแพทย์ จุฬา ในปีถัดมา เป็นเรื่องเกี่ยวกับพันธุกรรม ในแลปของ อ.อภิวัฒน์....เรียกว่าทัวร์ตามหาฝันมาก 5555ฝึกพวกนี้ก็ไม่ใช่เนื้อหาหลักสูตรก็ต้องหาเวลาว่างเอาเอง ช่วงปิดเทอมอันน้อยนิดน้อยจริงๆ เพราะเรียน 3 เทอม ก็ไปสิงหอเพื่อน หอรุ่นพี่เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย นี่ไม่นับพวกงานประชุม ><ทั้งหมดนี่เราเลยรู้ว่าตัวเองชอบงานวิจัยทางโปรตีนกับ geneticsแต่แอบเอียงไปทางโปรตีนมากกว่าแต่มันก็ยังกว้างมากสำหรับสิ่งที่จะเรียนต่อ ป.โท ป.เอก.เรื่องจะเรียนต่อ ป.เอก ไม่ใช่เรื่องที่เราวางแผนข้ามวันหรือเดือนแต่มันเป็นการวางแผนข้ามปี ไม่ใช่เรียนเพราะว่าความรู้ ป ตรี มันไม่พอในสังคมปัจจุบันเหมือนที่ใครๆเค้าพูดกัน.คงไม่ใช่เรื่องสนุกที่จะเอาเวลาชีวิตที่ทำงานหาเงินได้ หาเงินเลี้ยงครอบครัวได้ มาเเลกกับใบปริญญาที่ยังตอบตัวเองไม่ได้ว่าเราต้องการอะไรจากใบปริญญานี้ และมันคุ้มมั้ยกับสิ่งที่ต้องแลก ตัวเราเองหาคำตอบในใจและเตรียมตัวไว้ตั้งแต่ ปี 3.สิ่งที่เตรียมนั้นก็คือเกรดเฉลี่ย เพราะ อ แนะนำไว้ว่าต้องได้เกรดสูงๆถ้าได้เกียรตินิยมยิ่งดี ตอนนั้นปั่นเกรดสุดฤทธิ์ (แต่กิจกรรมก็ไม่ทิ้ง 5555+ แบ่งเวลาเอา) จบ ปี 3 เกรดก็อยู่ในระดับที่ต้องการที่เหลือก็แค่อย่าให้ตกก็พอ.เรื่องว่าจะเรียนที่ไหน หัวข้อแบบไหน เรียนกับใครก็เป็นเรื่องที่ชวนปวดหัวไม่น้อย ก็อาศัยปรึกษา อ ที่รู้จัก เรียกว่ารู้จักใครก็ปรึกษาเค้าไปทั่ว เพราะว่า protein กับ genetics กว้างมาก.เราไม่รู้ว่าจริงๆตัวเองสนใจอะไรในนี้ ก็เริ่มตามอ่านงานวิจัย อ ที่สนใจ ตอนนั้นปี 6 รู้ว่าใช้เวลามากกว่าอ่านสอบใบประกอบเภสัชมีบางทีก็ขอไปดูแลปด้วย แฮร่ๆ เพราะอยากรู้ว่าตอนนั้น ที่แลปนั้นทำงานประมาณไหน อ่านงานวิจัยคนเดียวก็งงเอง เลยติดต่อ อ ไปดีกว่าขอบคุณ อ ทุกๆท่านที่ให้โอกาสหนูตามหาตัวเอง ><สุดท้ายแล้วการตัดสินใจก็ต้อปรึกษา อ ที่คิดว่ารู้จักเราดีแล้วเราก็คุยปรึกษาแบบตรงๆได้ ก็กลับไปที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์.อาจารย์ถามหลายๆคำถามราวกับคำถามสอบเข้าการไปหา อ วันนั้นทำให้เราได้คำตอบทุกอย่าง.มีคำถามนึงที่เราจำได้แม่นอ ถามว่า "ทำไมถึงอยากเรียน ป เอก"เราตอบ อ ไปว่าเราไม่ได้อยากเรียน ป เอกแต่เราอยากได้ บลาๆๆแล้ว อ ก็บอกว่าเราควรเรียนจนจบ ป เอกเพื่อให้ได้สิ่งนั้น (ถ้าตอนสอบเข้าตอบว่าไม่ได้อยากเรียน ป เอก จะสอบได้มั้ยเนี่ย ><).แต่ก็สอบเข้ามาได้หล่ะ แฮร่ๆเหมือนผ่านอุปสรรคมากเยอะแยะมากมายทั้งความกลัวของตัวเอง(กลัวว่าจะไม่มีตังค์เรียน ><คงไม่ใช่เวลาให้พ่อแม่มาส่งให้เรียนแล้วที่จริงความทำงานส่งน้องเรียนด้วยซ้ำ)ปัญหาสุขภาพ(นอน รพ ซะแหลกลานจนแม่ไม่อยากให้เรียนต่อ แต่ก็เจอ trigger ต้นเหตุแล้วและรู้สึกสบายใจที่บอกปัญหาสุขภาพนี้ให้ อ ที่ปรึกษารู้ก่อน).คงมาไม่ได้ขนาดนี้ขอบคุณอาจารย์ทุกท่านโดยเฉพาะอาจารย์ ม.วลัยลักษณ์และ CRIขอบคุณครอบครัว เพื่อนๆ และอาจารย์หมอเจ้าของไข้.สุดท้ายนี้ก็จะเริ่มต้นใหม่ในฐานะนักศึกษาปริญญาเอกดีใจนะที่กลับมาเป็นคนตัวเล็กๆ ได้เรียนรู้อะไรเงียบๆได้พัฒนาตัวเอง เมื่อถึงวันที่มีโอกาสส่งต่อความรู้ให้คนอื่นจะได้ทำให้ดีที่สุด ตอนเรียนๆไปมันคงต้องเจอความยากบ้างก็จะพยายามนะ ถ้ามันหนักหนามากก็จะแอบพักเล็กๆ แล้วมาสู้ต่อแต่คงไม่ว่างขนาดไปทำคอนเสิร์ตเหมือน ป.ตรี 555555ดนตรี กีฬาก็ยังคงเป็นสิ่งที่เอาไว้ relax และดูแลสุขภาพต่อไป^^น้ำทิพย์บ้าบอคนเดิม เพิ่มเติมคือมีการศึกษาช่วยเชียร์ด้วยนะคะ อิอิ