- formatting
- images
- links
- math
- code
- blockquotes
- external-services
•
•
•
•
•
•
-
ที่ใดมีชีวิต ที่นั่นมีความหวัง
"อมตะ ฆ่าไม่ตาย เป็นคำที่สอดคล้องกับชีวิตอย่างไม่น่าประหลาดใจนัก ในวงการวิทยาศาสตร์พลานาเรียซึ่งเป็นหนอนตัวแบนชนิดหนึ่ง ขึ้นชื่อเรื่องความเป็นอมตะ ยิ่งหั่นพลานาเรียเป็นชิ้นจำนวนมากเท่าไหร่ ก็คือการให้กำเนิดพลานาเรียตัวใหม่มากขึ้นเท่านั้น.เรื่องแบบนี้ช่างกลับกันกับคนเราอย่างสิ้นเชิงเพราะยิ่งเจอเรื่องที่ทำให้เจ็บช้ำเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้กำลังใจทดถอย เมื่อไม่มีกำลังใจเสียแล้ว คนเราก็คงสู้ต่อไปไม่ได้.ในโลกที่แสนวุ่นวายและเร่งรีบ ปัญหาที่ยังปราณีอยู่บ้าง ก็ยังค่อย ๆ ทยอยกันเข้ามา แต่บางปัญหาก็ไม่ได้สนใจใยดีต่อสภาพจิตใจเราเท่าใดนัก ความเจ็บไข้ได้ป่วยก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง ที่พร้อมจะทำให้ทุกอย่างที่คาดหวังพังราบเป็นหน้ากลอง มันเป็นความโชคร้ายที่ไม่มีใครอยากให้เกิด ยิ่งโรคที่ต่อให้จะรักษาสุขภาพดีพร้อมขนาดไหนก็มิวายจะเกิดขึ้น เกินกว่าที่จะคาดเดา ความเจ็บป่วยนั้นจึงราวกับคำสาป.เส้นทางของการรักษาที่ยาวไกล มีเพียงหมอและคนไข้เท่านั้นที่เดินด้วยกันไปตลอดทาง เทียนที่เปร่งแสงสีเหลืองนวลสุกใส ด้วยความมุ่งมั่นในการรักษาและจรรยาญาบรรณแห่งวิชาชีพถูกถืออย่างมั่นคงในมือของหมอเจ้าของไข้ นั่นเป็นเพียงแสงเดียวในอุโมงค์ที่มืดสนิท ไม่มีแม้แสงและเสียงอื่นใดจะเล็ดลอดออกมาได้ ความหนาวเย็นที่ซาบลึกลงถึงกระดูก ความหดหู่นั้นยากเกินกว่าที่จะเล่าขาดต่อให้ใครต่อใครฟัง.คนไข้ได้แต่กัดฟันเพื่อข่มความกลัวไว้ เฝ้ามองแสงเทียนนั้นและค่อย ๆ คืบคลานตามแสงเทียนแห่งความหวังไปอย่างเนิบช้า โดยที่ไม่รู้เลยว่าระหว่างทางจะพบอุปสรรคใด และกระนั้นเองก็อย่าได้แม้แต่เอ่ยถามว่าการเดินทางครั้งนั้นจะไปถึงจุดหมายหรือจบลงเช่นใด.แต่หากคนไข้ผู้นั้นได้เหลียวมองข้างกาย ก็จะพบเพื่อร่วมโรคที่บ้างก็ใจหดหู่ บ้างก็ยิ้มแย้ม บ้างก็เล่าขานว่ารู้จักคนที่เดินตามแสงแห่งเทียนนี้ไปจนสุดอุโมงค์ของการรักษาด้วยความแกล้วกล้า.คนไข้ที่เดินตามเเสงเทียนเริ่มบทสนทนาที่ปลุกไฟของความหวังที่ริบรี่ ของกันและกันขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องเกริ่นนำถึงความเจ็บปวดทรมานจากเส้นทางของโรคภัย ต่างคนจากต่างพื้นเพ ต่างชนิดโรค และต่างความรุนแรง ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นเลยสำหรับการแข่งขันว่าผู้ใดป่วยได้หนักหนาที่สุด การเปรียบเทียบมีเพียงคนไข้คนนั้นกำลังสู้หรือได้จากโลกนี้ไปแล้วเท่านั้น.ในวันที่ท้อจนแทบไม่เหลือความหวังใดใด วันที่ถูกหลายต่อหลายคนตีตราเพียงเพราะความเจ็บป่วยที่ราวกับถูกสาป ต้องเจอคำถามที่บ่งบอกถึงความกังขาระหว่างความสามารถในการทำงานกับสุขภาพที่ดูจะแย่ลง แม้จะเก่งกาจสักเพียงใด หากสุขภาพไม่ดีแล้วไซร้ ก็คงมิอาจเดินตามความมุ่งมาดปรารถนาที่มีต่อไปได้.คืนและวันที่ผ่านไปอย่างเชื่องช้า สิ่งที่ทำได้มีเพียงอดทนรอและเดินตามแสงเทียนของหมอเจ้าของไข้ ท่ามกลางเสียงให้กำลังใจจากคนจำนวนน้อยนิด แต่กลับดังกังวาลในหัวใจยิ่งนัก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ช่วงเวลาที่โหดร้ายนี้จะต้องผ่านไปในท้ายที่สุด.แท้จริงแล้วมนุษย์เราก็ยังคงมีสัญชาตญาณเหมือนสัตว์ตัวเล็ก ๆ อย่างพลานาเรีย ด้วยสัญชาตญาณที่สืบทอดมาถึงมนุษย์และฝังรากลึกในระดับพันธุกรรมก็คือ"สัญชาตญาณของการฮึดสู้"ไม่ว่าการต่อสู้จะยังผลให้ชีวิตที่เหลือรอดมานั้นเป็นแบบใดก็ตาม.อย่างไรเสีย ชีวิตที่ยืนยาวเป็นนิจนิรันดร์ก็ไม่อาจเป็นชีวิตที่ชวนให้ปรารถนาได้ด้วยเวลาซึ่งเป็นสิ่งล้ำค่านั้นไม่ได้มีความหมายต่อชีวิตที่เป็นนิรันดร์อีกต่อไป.เพราะเหตุนี้ความหมายของชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งใดเลยเว้นเสียแต่ความคาดหวังของเจ้าของชีวิตเท่านั้น."ชีวิตจะมีความหวังได้หรือไม่นั้นก็ย่อมขึ้นอยู่กับความคาดหวังในใจของเจ้าของชีวิต""=================
ดัดแปลงบางส่วนจากที่เนื้อความที่ส่งประกวดวรรณกรรม “วรรณศิลป์อุชเชนีปี 2562”แต่เขียนด้วยเวลาสั้นที่สุดข้อมูลที่เป็นโครงหลักไม่ได้เกิดจากการอ่านเหมือนงานอื่นๆแต่เกิดจากการผ่านช่วงเวลาที่ไม่รู้ชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อถ้าชีวิตไม่เหลือความหวังอะไรอีกต่อไปงานชิ้นนี้ก็จะไม่ถูกเขียนขึ้น.แค่ผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ ได้เขียนงานนี้(แม้จะไม่ได้รางวัลการประกวดก็เถอะ 55)แบบดีใจกับสิ่งที่ตัวเองได้อดทนผ่านมาและได้แต่ขอบคุณหลายๆคนที่ยังอยู่ข้างๆในวันที่ไม่เหลืออะไรให้เสียโดยเฉพาะครอบครัว หมอ อาจารย์ที่ปรึกษาและผู้มีพระคุณที่แทบจะเรียกว่าให้ชีวิตก็ว่าได้.Ref แรงบันดาลใจในการเขียน:1. เรื่องราวของพลานาเรีย ได้ไอเดีจาก อ.นำชัย แล้วก็เจอบทความนี้ Prospectively Isolated Tetraspanin+ Neoblasts Are Adult Pluripotent Stem Cells Underlying Planaria Regeneration2. A Brief History of Stephen Hawking เขียนโดย ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ3. ช่วงชีวิตที่ป่วยด้วยหอบหืดขั้นรุนแรง จนชีวิตเละเทะ ดรอปเรียนไปนอนงับลมกว่าครึ่งปี.Credit ภาพ: เป็น 2 สถานที่ที่เหมือนเป็นสัญลักษณ์ของความหวัง มารวมในภาพเดียว ภาพนึงคือมูลนิธิจุฬาภรณ์ และอีกภาพคือศิริราชเขียนเมื่อ 19 ตุลาคม 2019
-
หมอทางเดินอาหาร ที่ซดแบคทีเรียจนได้รางวัลโนเบล
คนนี้อ่ะเป็นหมอทางเดินอาหาร ที่ซดแบคทีเรียจนได้รางวัลโนเบล
ศาสตราจารย์ แบร์รี เจ. มาร์แชล (Barry J. Marshall)
คือคนพบ H. Pyroli แบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร โดยการพิสูจน์คือกินเองจ้าาา สุดดดดด กินเสร็จปวดท้องรุนแรงเลย กินเองรักษาเองเสร็จสรรพ
การค้นพบนี้มันเปลี่ยนโลก นี่คือที่มาของ triple therapy ที่รักษากระเพาะอาหาร คือยาฆ่าเชื้อ + พวกลดกรด
แต่ก่อนมีแต่ลดกรด ก็รักษากันไม่หายไม่จบไม่สิ้น พอมาเจอว่าเพราะเชื้อแบคทีเรียเป็นต้นเหตุได้ด้วย
ก็ฟาดทีเดียว สาดยาฆ่าเชื้อให้สิ้นซาก
หายกันไปเลยยยยจ้าาา
ขอบคุณภาพจาก Nobel Prize
#โรคกระเพาะ
#เชื้อเอชไพโลไร
#หมอกินเชื้อพิสูจน์เอง
#โนเบลไพรซ์
#TripleTherapy
#ยาฆ่าเชื้อบวกยาลดกรด
#NoCancerThailand -
ป เอก และงานวิจัยของแก ทำไมมันดูยากและทำเพื่อมวลมนุษยชาติขนาดนี้วะ
"ป เอก และงานวิจัยของแก ทำไมมันดูยากและทำเพื่อมวลมนุษยชาติขนาดนี้วะ".
นั่นหล่ะบทสนทนาของฉัน
ว่าด้วยเรื่องงานวิจัยยานแม่มะเร็ง
ที่เล่าให้พี่คนนึงในกลุ่มคนไข้บ้าพลังฟัง
ขณะที่เรากำลังตระเวนหาอาหารย่านวังหลังกินกัน
.
งานวิจัยที่ผลออกมาอย่างที่ทำให้ใจเต้นรัวทุกครั้ง
ก็รู้สึกว่าตัวเองอินกับงานวิจัยชิ้นนี้เอามากเหมือนกัน
ตอนแรกก็คิดว่าคงเพราะเห็นพี่ๆคนไข้มะเร็ง
ตั้งความหวังกับงานวิจัยว่าจะช่วยให้ชีวิตคนไข้ดีขึ้น
แต่ดูเหมือนมันจะไม่ใช่เพียงแค่นั้นหน่ะสิ
.
จากประโยคกึ่งคำถามของขุ่นเจ้
ทำให้เราตอบกลับไปว่า
งานวิจัยที่ดูซับซ้อนทำอะไรเยอะเเยะนั่น
มันเกิดขึ้นจากงานที่ต่อยอดมาจากงานของคนอื่น
.
เหมือนเรากำลังเก็บสะสมความรู้จากสิ่งที่คนอื่นเจอมาก่อน (literature review)
เรากำลังก้าวขึ้นบันไดความรู้ที่สร้างไว้โดยคนก่อนหน้า
มาสร้างองค์ความรู้ใหม่ขึ้นทีละเล็ก ทีละน้อยของตัวเอง
และวงการวิทยาศาสตร์นี้เองก็ยังมีวัฒนธรรม
ที่จะเรียกว่าบังคับก็ว่าได้
นั่นคือความรู้ที่เราสร้างก็จะเป็นบันไดขั้นนึงให้คนอื่นก้าวต่อไปเช่นกัน
โดยสิ่งที่ได้ตอบแทนซึ่งเปรียบเสมือนคำขอบคุณก็คือ citation
.
นั่นคือความน่าหลงใหลของวิทยาศาสตร์
การสร้างสิ่งใหม่ไม่รู้จบ
การมุ่งหวังให้เกิดสิ่งต่อยอดโดยไม่หวงแหน
การยึดหลักของเหตุและผล รวมถึงหลักฐานเชิงประจักษ์
และการกล่าวขอบคุณในองค์ความรู้ใดใดที่ได้รับมา
ไม่ว่าจะเป็นการสอนสั่งหรือคำแนะนำจากรุ่นพี่ อาจารย์ คนแปลกหน้า (reviewer) หรือกระทั่งบทความของใครก็ไม่รู้(references)
.
ไม่มีอะไรน่าเหนียมอายที่ผู้อาวุโสจะบอกว่าไม่รู้
และไม่มีอะไรเสียหายถ้าเด็กน้อยจะยกมือตอบ
.
ดูๆไปวิทยาศาสตร์นี่ก็แสนจะศิวิไล
หากจะไม่หลงใหล คงจะใจเหน็บ ใจชาเสียเต็มที
.
วิทยาศาสตร์อันดีงามในอุดมคติ
ทำให้เราหลงลืมไปอย่างสนิทใจว่า
.
ศาสตร์ที่สวยงามเช่นนี้
ถูกสร้างมาและสานต่อด้วยความคิดความอ่านของมนุษย์
.
มนุษย์ที่ยังมีความโลภ โกรธ หลง กล่าวร้ายนินทา
อิจฉาริษยา หรือกระทั่งสรรเสริญเยินยอ
หากแม้นมิอยู่ในใจส่วนลึก
ก็คงอยู่ในใจส่วนตื้น
เพียงแต่จะสักกี่มากน้อย ก็สุดแท้แต่ตัวคน
.
วิทยาศาสตร์นอกหนังสือเรียน
จึงเสมือนสิ่งที่คละเคล้าไปด้วย
กลิ่นอายและนิสัยใจคอของมนุษย์
อย่างแยกกันไม่ขาด
.
การมี community เล็กๆ
มีเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้องและอาจารย์
ที่ช่วยสนับสนุนผลักดันกันและกันให้ไปข้างหน้าได้อย่างสนิทใจ
ยินดีในความสำเร็จของทุกคนเหมือนช่วยกันสร้างขึ้นมา
บางครั้งเกิดขึ้นในรูปแบบปรึกษาส่วนตัว
บางครั้งเป็นงานประชุมหามรุ่งหามค่ำหลายวันติดกัน
บางครั้งเป็น group discussion เล็กๆลับๆ
หรือบางทีก็ชวนกันไปเดินเล่น บ่นๆในสวนลับ
ก็ช่วงที่ชีวิตชุ่มชื่น กระชุ่มกระชวย
.
แต่หากที่ใดมีวิทยาศาสตร์ที่แท้ให้ได้ลิ้มชิมรส
ก็อยากจะลองชิมดูสักครั้ง
คงจะได้ดีดตัวออกจากที่นอนแบบสดชื่นทุกวัน
และรสที่ได้ลิ้ม กลิ่นที่ใดยลนั้น
คงจะติดใจมิรู้เลือน
#namthipphdstory #NoCancer #NoCancerTH
=============
โพสต์เมื่อ 4 ปีก่อน
กลับมาอ่านแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองเขียนสวย
AI จะเลียนแบบก็คงยาก
.
เวลาผ่านไปตอนนี้รู้สึกสนุกสนานกับการได้ลอง mentoring ใครก็ไม่รู้ที่ติดต่อหลังไมค์เข้ามากันเอง
โลก online แบบ international มีอะไรสนุกๆให้ลองทำเยอะเลย
.
เวลาผ่านไปวิทยาศาสตร์ยังสวยงามเหมือนเดิม
เพิ่มเติมคือรู้มุมไม่ดีๆของวงการเยอะขึ้น
ศรัทธาในตัวคนน้อยลง
จนยังเหลือศรัทธานั้นสักแค่ไหน...ก็กะไม่ถูกเหมือนกัน -
วิทยาศาสตร์ในวันนี้ที่รู้เบื้องหน้าและเพิ่งพบเจอเบื้องหลัง
ความคิดความอ่านตอนเล่าเรียนนั้น
เราก็มุ่งหมายไปที่งานวิจัยดีดี มีคุณภาพ
เพียงอย่างเดียว
จะให้มีเงิบกันบ้างจากเรื่องซื้อขายผลงานวิจัย
ซื้อวุฒิมาให้มีคำนำหน้าชื่อเท่ๆ
แต่กระนั้นวิทยาศาสตร์บางด้านบางมุม
ก็ยังสวยสดและงดงาม
มากเสียกว่าความด่างพร้อยที่มาแต่งแต้มเติมสี
.
แต่เมื่อเรียนจบมา
กลับมีหลายเรื่องราวให้ต้องคิด ต้องตั้งคำถาม
หลายเรื่องรู้จากเพื่อน จากรุ่นพี่
หลายอย่างรู้จากอาจารย์คนนู้น คนนี้
นี่คือเวลาเบิกเนตรสินะ
.
เรื่องทุนวิจัย การตั้งแลปตั้งตัว
การมีผลงานดีดีสักชิ้นแสนที่ภูมิใจ
หรือการมีผลงานเล็กๆ แต่อยู่รอดในวงการ
การไปแฝงตัวในแลปที่แข็งแกร่ง
การได้ส่งต่อไว้ให้เมล็ดพันธ์กล้าต้นน้อยๆ
หรือต้นไม้ใหญ่จะอมสารอาหารไว้เสียเอง
แผ่กิ่งก้านสาขาจนไม่เหลืออาหารนั้นถึงใครอื่น
การที่บางที่คนทำงานอยู่ยงคงกระพัน
รักกันจนหลังเกษียณ
หรือบางแห่งคนผลัดหน้าไม่ซ้ำ
ชื่อแซ่ยังไม่ทันได้จดจำ
แม้สวัสดิการจะขึ้นชื่อว่าดีสักเพียงใด
อะไรคือเบื้องหลังที่ควรเตรียม สิ่งที่ควรมี
.
เป็นอีกครั้งที่กลับมาตั้งคำถามกับตัวเอง
ด้วยคำถามที่มากมายกว่าตอนเป็นนักเรียน
คำถามนึงที่ไม่ต้องถามตัวเองซ้ำคือ ความชอบ
แต่อาจจะต้องถามต่อว่าเป้าหมายคืออะไร
งานที่ชอบจะเลี้ยงปากท้องได้จริงหรือ
จะดูแลคนที่เรารักได้จริงไหม
และท้ายที่สุด วันนี้เคารพตัวเองบ้างหรือยัง
ความสุขคืออะไร ...กันแน่
Welcome to the real world
เพราะเป็นผู้ใหญ่มันไม่ง่าย
แต่จะเป็นเด็กตลอดไป ก็ไม่ได้เหมือนกัน -
🏅 Nobel Prize 2025 – T-Rex (Treg): The Peacekeeping Boss of the Immune Army
Let’s break it down scene by scene so it’s easy to follow. Ready? Let’s roll! 🎬
🎬 Scene 1: The War Inside the Body
Inside our body lives a massive army of dinosaur soldiers—our immune system—
guarding the city of “Bodyville” from enemies like viruses, bacteria, and cancer cells.They’re always ready for battle—
but here’s the catch… sometimes, these dino-soldiers go berserk! 😱
They start firing at everything in sight—
even innocent citizens like the liver, eyes, or skin.And that’s how autoimmune diseases begin—
when your body’s own army can’t tell friend from foe.
🦕 Scene 2: Enter the Boss – T-Rex the Peacemaker
In 2025, the Nobel Prize in Physiology or Medicine 🏅
was awarded to Mary Brunkow, Fred Ramsdell, and Shimon Sakaguchi
for discovering the Regulatory T cell (Treg) —
the real-life T-Rex boss of the immune army! 🦖Yes, this T-Rex doesn’t roar to fight — it roars to calm the troops down.
🧠 Scene 3: The Birth of the T-Reg Unit
Tregs are the peacekeepers of the immune army.
Their job? Stop fellow soldiers from attacking innocent cells.When another immune cell is about to shoot,
Treg shouts special chemical codes — IL-10, TGF-β, and CTLA-4 —
which roughly translate to:“HEEEEY! Cease fire! That’s one of us!!”
The moment the code is heard, the troops drop their weapons. 🫡
🧬 Scene 4: The Secret Code – FOXP3
Every Treg carries a secret badge — a gene called FOXP3.
This is their “born-to-lead” mark — a divine sword of peace 🔮✨.If the FOXP3 gene breaks, Tregs disappear,
and the immune army turns against itself 💥 —
causing diseases like IPEX syndrome,
where the body’s defense system self-destructs.That’s how scientists realized:
“We survive every day because Tregs keep the peace within us.”
🏰 Scene 5: The Double-Edged Sword
Too much or too little T-Rex power can both be dangerous.
-
Too aggressive → Autoimmune diseases ⚔️
-
Too lazy → Cancer or infections sneak through 🦠
So the Treg boss must keep perfect balance —
knowing when to fight and when to hold fire. ⚖️
🏅 Scene 6: Why This Deserves a Nobel
This discovery changed how we see immunity forever.
We used to think:
“A strong immune system means always fighting.”
But now we know:
“A wise immune system knows when to stop.”
That’s the essence of Peripheral Immune Tolerance —
the principle that keeps our defense system in check.As the Nobel Committee beautifully put it:
“A fundamental discovery about the principle that keeps our immune system in check.”
🌿 The Take-Home Message
“Our body stays healthy not because it fights hard —
but because it knows when to stop.” 💚So this year, the Nobel Prize in Physiology or Medicine 2025
goes to the discovery of...
🦖✨ Tregs – The Peacekeeping Commanders of the Human Body! ✨🦖
#NobelPrize2025 🏅 #NobelMedicine2025 #Treg #RegulatoryTCells
#PeripheralImmuneTolerance #ImmuneSystem #ScienceExplained
#MedicalDiscovery #ImmunologyFun #NobelPrizePark
#รางวัลโนเบล2025 #ระบบภูมิคุ้มกัน #วิทย์เข้าใจง่าย -




