- formatting
- images
- links
- math
- code
- blockquotes
- external-services
•
•
•
•
•
•
-
ภาพวาดของผู้ทรงศักดิ์ในหอสมุดศิริราชและเป็นที่มาของชื่อพิพิธภัณฑ์
ภาพวาดของผู้ทรงศักดิ์ในหอสมุดศิริราชและเป็นที่มาของชื่อพิพิธภัณฑ์
รูปของกรมพระราชวังบวรสถานภิมุข จะเจอได้ที่ตึกอดุยฯ กับหอสมุดของศิริราช
ช่วงเดือนที่ผ่านมาเป็นช่วงที่เรียนตึกนี้เกือบทุกวันตึกอดุยลเดชวิกรมของศิริราช ซึ่งด้านบนเป็นพิพิธภัณฑ์.เข้ามาใต้ตึกทีไรก็เห็นใครๆยกมือไหว้ ทำความเคารพรูปวาดพระบิดาในรัชกาลที่ 9แต่ไม่ค่อยมีใครสังเกตรูปวาดของบุคคลท่านนี้กันมองผ่านๆ อาจจะนึกว่าเป็นรูปรัชกาลที่ 1.พื้นที่นี้เป็น รพ. ศิริราช ได้ส่วนหนึ่งก็เพราะท่านนี้หล่ะ.ถ้ารู้จักศิริราชก็คงรู้จักวังหลังซึ่งวังหลังเป็นพระราชวังเดิมของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระอนุรักษ์เทเวศร์กรมพระราชวังบวรสถานภิมุขซึ่งทรงเป็นกรมพระราชวังบวรสถานภิมุข(ตำแหน่งวังหลัง)ในรัชกาลที่ 1.ท่านมีศักดิ์เป็นหลานของรัชกาลที่ 1และยังเป็นเสมือนขุนศึกข้างพระวรกายหลังจากนั้นมาไทยก็ไม่มีตำแหน่งวังหลังอีกเลยพื้นที่ของวังหลังจึงไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากมายอย่างวังหน้า.ช่วงรัชกาลที่ 5 วังหลังจึงถูกเปลี่ยนเป็นรพ.ศิริราช(ศิริราชมาจากชื่อพระโอรสในรัชกาลที่ 5).ศิริราชมีเรื่องราวมากมายพิพิธภัณฑ์ก็มีถึง 4 แห่งแต่ก็ยังไม่เคยไปเลยสักที่เดียวฝุ่นคงจะเยอะ แอบเสียดายนะเนี่ยปล. รูปของกรมพระราชวังบวรสถานภิมุขจะเจอได้ที่ตึกอดุย กับหอสมุดของศิริราชส่วนเรื่องราวของวังหลังมีให้เจอเยอะมากร่องรอยกำแพงเก่าแถวศิริราชปิยะซึ่งเป็นแนวยาวไปถึงแถวๆวัดระฆังปล2. ท่านนี้เป็นหลานของรัชกาลที่ 1 (ลูกของพี่สาว)เขียนเมื่อ 10 สิงหาคม 2019FB post: https://www.facebook.com/share/p/1B6Tki5QqC/ -
พระคุณของคุณยายขายโตเกียวหน้าโรงเรียน
พระคุณของคุณยายขายโตเกียวหน้าโรงเรียน
เมื่อเกือบ 20 ปีก่อน แสงแดดสีทองยามสาดทั่วท้องฟ้าใกล้เวลาที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าเข้าทุกครั้งเด็กตัวกลมๆ ผมม้าในชุดนักเรียน ป.1 ใหม่เอี่ยมกำลังนั่งบนเก้าอี้พลาสติกเก่าๆตัวหนึ่งพร้อมกับหน้าตาละห้อยรอคอยพ่อแม่มารับกลับบ้านไม่ไกลกันนัก มีผู้หญิงสูงวัยคนหนึ่งยืนม้วนขนมโตเกียวแล้วใส่ลงถุงกระดาษอย่างชำนาญที่ทำงานของเธอก็คือร้านรถเข็นคันเล็กๆมีเก้าอี้นั่ง 1 ตัว แต่เธอได้สละมันให้แก่เด็กหญิงผมม้าไปแล้วแม้จะผ่านไปวันแล้ววันเล่า ภาพแบบนี้ก็ยังเกิดขึ้นเสมอตอนเวลาที่ฉันอยู่ ป.1...ใช่แล้วเด็กหญิงคนนั้นคือฉันเมื่อวัยเด็กยายขายโตเกียวที่ฉันไม่เคยรู้ชื่อเลยคือคนที่มีพระคุณต่อฉัน เหมือนคุณครูคนนึงเลยก็ว่าได้ ถ้าไม่มียายคนนึงก็อาจจะไม่มีฉันในวันนี้วันนี้ฉันกลับไปหน้า รร ประถมอีกครั้งเพื่อจะถามหายายเพราะอยากเอาของไปเยี่ยมยายแกคงดีใจนะ ถ้าเด็กคนนึงที่แกสละเก้าอี้ให้นั่งและช่วยดูแลจนกว่าพ่อแม่จะมารับในวันนั้น กลับมาเยี่ยม ^^แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะช้าไป ฉันถามหายายจากแม่ค้าเก่าๆ ทำให้รู้ว่า"ยายดาเสียไปตั้งแต่ 6-7 ปีก่อน"ของเยี่ยมจึงต้องเปลี่ยนเป็นการทำบุญแทน---------ขอบคุณยายเสมอ และจะไม่ลืมพระคุณนั้นเลยคุณยายขายโตเกียวของน้ำทิพย์ T TCr.ภาพจาก internetเขียนเมื่อ 10 สิงหาคม 2018FB post: https://www.facebook.com/share/p/1C8pHfKY8v/ -
Namthip x งานวิจัยมะเร็ง: ตอนอะไรที่ดลจิตดลใจให้เดินไปหาปริญญาเอก
...อะไรที่ดลจิตดลใจให้เดินไปหาปริญญาเอก...
ภาพด้านในตึกชีวการแพทย์ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ เรื่องราวมันยาวนานพอดู บางคนอาจจะรู้เรื่องราวนี้มาบ้างตอนนั้นอยู่ ม.2 เพราะว่ายายเสียด้วยโรคนี้ตอนนั้นก็โคตรเซ็งเลย แบบเฮ้ย ทำไมหมอให้ยายกลับบ้านหว่ะหมอต้องรักษาดิ ก็ยังเด็กน้อยอ่ะนะpalliative care อะไรไม่รู้จักทั้งนั้นหลังจากนั้นก็หาข้อมูลด้วยความแค้น 55555ซื้อหนังสือเอย ไปงานประชุม ดูข่าวพระราชสำนัก(ข่าวเจ้าฟ้าหญิงนี่หล่ะ)ไปๆมาๆจนรู้ว่าชอบมะเร็งทางด้านวิทยาศาสตร์ (มารู้เอาตอน ป.ตรี).บางคนเคยบอกว่าสนใจมะเร็งมันก็ตามเทรนก็จริงอยู่มะเร็งเป็นเทรน คนเป็นกันเยอะไม่ว่าใครก็ต้องมีใครสักคนรอบตัวเป็นมะเร็งกันบ้างแต่มันไม่ได้สำคัญว่าสิ่งที่เราสนใจจะเป็นเทรนมั้ยเพราะสิ่งที่พิสูจน์กันได้ไม่ใช่คำพูด และเราก็ได้พิสูจน์มันมาบ้างแล้ว.สำหรับเราตอนนี้มะเร็งไม่ใช่สิ่งที่ต้องแค้นเคืองแต่มันคือ passionที่ทำให้เราพยายามไปต่อในสิ่งที่เราสนใจคิดดูสิว่าจะรู้สึกดีขนาดไหนถ้าสิ่งเล็กๆที่เราทำมีประโยชน์ต่อผู้ป่วย.จะดีสักแค่ไหน ถ้าอีก 10 ปี 30 ปี หรือ 50 ปีข้างหน้าคนที่ป่วยเป็นมะเร็งแบบที่ยายเป็นจะอยู่ได้นานๆ หรือแก่ชราไปด้วยอายุขัยตัวเองจะดีแค่ไหนถ้าการรักษาใดๆก็ตามไม่ได้ช่วยคนแค่ 1แต่ช่วยได้เป็น 100 เป็น 1000.ที่รู้ว่าชอบมะเร็งแบบวิทยาศาสตร์ ก็ใช้เวลาลองอยู่นานจะชัดจริงๆก็ประมาณ ม.5 ได้รู้จักกับ อ.ชิษณุสรรเพราะค่าย thai science camp(นี่ถ้าค่ายไม่ฟรีกับมีค่าเดินทางให้นะ อดไปแน่ๆ)ขาดสอบของ รร ไปค่าย เกรียนมากนะสมัยนั้นแล้วก็ได้ไปดูแลปที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์แป๊ปนึง(แค่ไม่เกิน 2 ชม.อ่ะ) โดยมี อ.เกรียงศักดิ์ ดูแลตื่นตาตื่นใจกับการเห็นตู้เย็น -80 มาก ตลกตัวเองจัง 5555+.- พอตอนประมาณ ปี 2-3 ก็ขอ อ ในมหาลัยไปช่วยงานพวกสมุนไพร (อ.วรพงศ์) เกือบได้ทำแลปข้ามปี แต่เพราะเวลาเรียนช่วงหลังรัดตัวมาก เวลานอนยังหายากเลยต้องหยุดแค่นั้น- ปี 3 ก็กลับไปดูงานที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์อีกครั้ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับโปรตีนเป็นเวลาไม่กี่วันที่ได้ความรู้เยอะมากและเพราะที่นี่ทำให้ได้ connection ไปฝึกต่อทีคณะแพทย์ จุฬา ในปีถัดมา เป็นเรื่องเกี่ยวกับพันธุกรรม ในแลปของ อ.อภิวัฒน์....เรียกว่าทัวร์ตามหาฝันมาก 5555ฝึกพวกนี้ก็ไม่ใช่เนื้อหาหลักสูตรก็ต้องหาเวลาว่างเอาเอง ช่วงปิดเทอมอันน้อยนิดน้อยจริงๆ เพราะเรียน 3 เทอม ก็ไปสิงหอเพื่อน หอรุ่นพี่เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย นี่ไม่นับพวกงานประชุม ><ทั้งหมดนี่เราเลยรู้ว่าตัวเองชอบงานวิจัยทางโปรตีนกับ geneticsแต่แอบเอียงไปทางโปรตีนมากกว่าแต่มันก็ยังกว้างมากสำหรับสิ่งที่จะเรียนต่อ ป.โท ป.เอก.เรื่องจะเรียนต่อ ป.เอก ไม่ใช่เรื่องที่เราวางแผนข้ามวันหรือเดือนแต่มันเป็นการวางแผนข้ามปี ไม่ใช่เรียนเพราะว่าความรู้ ป ตรี มันไม่พอในสังคมปัจจุบันเหมือนที่ใครๆเค้าพูดกัน.คงไม่ใช่เรื่องสนุกที่จะเอาเวลาชีวิตที่ทำงานหาเงินได้ หาเงินเลี้ยงครอบครัวได้ มาเเลกกับใบปริญญาที่ยังตอบตัวเองไม่ได้ว่าเราต้องการอะไรจากใบปริญญานี้ และมันคุ้มมั้ยกับสิ่งที่ต้องแลก ตัวเราเองหาคำตอบในใจและเตรียมตัวไว้ตั้งแต่ ปี 3.สิ่งที่เตรียมนั้นก็คือเกรดเฉลี่ย เพราะ อ แนะนำไว้ว่าต้องได้เกรดสูงๆถ้าได้เกียรตินิยมยิ่งดี ตอนนั้นปั่นเกรดสุดฤทธิ์ (แต่กิจกรรมก็ไม่ทิ้ง 5555+ แบ่งเวลาเอา) จบ ปี 3 เกรดก็อยู่ในระดับที่ต้องการที่เหลือก็แค่อย่าให้ตกก็พอ.เรื่องว่าจะเรียนที่ไหน หัวข้อแบบไหน เรียนกับใครก็เป็นเรื่องที่ชวนปวดหัวไม่น้อย ก็อาศัยปรึกษา อ ที่รู้จัก เรียกว่ารู้จักใครก็ปรึกษาเค้าไปทั่ว เพราะว่า protein กับ genetics กว้างมาก.เราไม่รู้ว่าจริงๆตัวเองสนใจอะไรในนี้ ก็เริ่มตามอ่านงานวิจัย อ ที่สนใจ ตอนนั้นปี 6 รู้ว่าใช้เวลามากกว่าอ่านสอบใบประกอบเภสัชมีบางทีก็ขอไปดูแลปด้วย แฮร่ๆ เพราะอยากรู้ว่าตอนนั้น ที่แลปนั้นทำงานประมาณไหน อ่านงานวิจัยคนเดียวก็งงเอง เลยติดต่อ อ ไปดีกว่าขอบคุณ อ ทุกๆท่านที่ให้โอกาสหนูตามหาตัวเอง ><สุดท้ายแล้วการตัดสินใจก็ต้อปรึกษา อ ที่คิดว่ารู้จักเราดีแล้วเราก็คุยปรึกษาแบบตรงๆได้ ก็กลับไปที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์.อาจารย์ถามหลายๆคำถามราวกับคำถามสอบเข้าการไปหา อ วันนั้นทำให้เราได้คำตอบทุกอย่าง.มีคำถามนึงที่เราจำได้แม่นอ ถามว่า "ทำไมถึงอยากเรียน ป เอก"เราตอบ อ ไปว่าเราไม่ได้อยากเรียน ป เอกแต่เราอยากได้ บลาๆๆแล้ว อ ก็บอกว่าเราควรเรียนจนจบ ป เอกเพื่อให้ได้สิ่งนั้น (ถ้าตอนสอบเข้าตอบว่าไม่ได้อยากเรียน ป เอก จะสอบได้มั้ยเนี่ย ><).แต่ก็สอบเข้ามาได้หล่ะ แฮร่ๆเหมือนผ่านอุปสรรคมากเยอะแยะมากมายทั้งความกลัวของตัวเอง(กลัวว่าจะไม่มีตังค์เรียน ><คงไม่ใช่เวลาให้พ่อแม่มาส่งให้เรียนแล้วที่จริงความทำงานส่งน้องเรียนด้วยซ้ำ)ปัญหาสุขภาพ(นอน รพ ซะแหลกลานจนแม่ไม่อยากให้เรียนต่อ แต่ก็เจอ trigger ต้นเหตุแล้วและรู้สึกสบายใจที่บอกปัญหาสุขภาพนี้ให้ อ ที่ปรึกษารู้ก่อน).คงมาไม่ได้ขนาดนี้ขอบคุณอาจารย์ทุกท่านโดยเฉพาะอาจารย์ ม.วลัยลักษณ์และ CRIขอบคุณครอบครัว เพื่อนๆ และอาจารย์หมอเจ้าของไข้.สุดท้ายนี้ก็จะเริ่มต้นใหม่ในฐานะนักศึกษาปริญญาเอกดีใจนะที่กลับมาเป็นคนตัวเล็กๆ ได้เรียนรู้อะไรเงียบๆได้พัฒนาตัวเอง เมื่อถึงวันที่มีโอกาสส่งต่อความรู้ให้คนอื่นจะได้ทำให้ดีที่สุด ตอนเรียนๆไปมันคงต้องเจอความยากบ้างก็จะพยายามนะ ถ้ามันหนักหนามากก็จะแอบพักเล็กๆ แล้วมาสู้ต่อแต่คงไม่ว่างขนาดไปทำคอนเสิร์ตเหมือน ป.ตรี 555555ดนตรี กีฬาก็ยังคงเป็นสิ่งที่เอาไว้ relax และดูแลสุขภาพต่อไป^^น้ำทิพย์บ้าบอคนเดิม เพิ่มเติมคือมีการศึกษาช่วยเชียร์ด้วยนะคะ อิอิ -
1st met Nobel Laureate (like a Hollywood Star)
Rubbing shoulders with a Nobel laureate once,
and I've been hooked ever since!It was with Prof. Ada, the Nobel laureate in Chemistry for her groundbreaking work on the structure and function of ribosomes. 🔬
I was fresh out of my Medicinal Chemistry course, and during a conference, I got to listen to her speak. That's when it all clicked! I could clearly visualize how a drug slips into a specific pocket of a protein to disable a bacterial cell. 🦠 It made the connection between what I learned in class and its real-world application crystal clear. Prof. Ada presented it with a beautiful animation, making the complex science so tangible.
I was so inspired that I went straight back to my university and bothered my professor to tell him just how mind-blowing it all was. This experience truly brought my education to life. 🤯
(P.S. I've listened to Prof. Ada speak many times since, and one thing that never changes is the age of her granddaughter—she's always a little kid! 👧 I sometimes wonder if her granddaughter and I are around the same age, haha.)
#NobelPrize #ScienceEducation #MedicinalChemistry #Ribosomes #Inspiration #AcademicLife #RealWorldLearning
-
กระทบไหล่เจ้าของรางวัลโนเบลครั้งนึง ติดใจตลอดไปปปป (Prof.Ada Yonath)
กระทบไหล่เจ้าของรางวัลโนเบลครั้งนึง
ติดใจตลอดไปปปปProf. Ada เจ้าของรางวัลโนเบลเคมี ปี 2009จากการศึกษาโครงสร้างและหน้าที่ของไรโบโซมตอนนั้นเรียน Medicinal Chemistry เพิ่งจบไป(นักศึกษาเภสัชต้องเรียนโครงการยาด้วยยยย)ปิดเทอมปุ๊บลั้ลลาแลปนู้นนี่ เข้าประชุทวิชาการปั๊บเจอเลยจ้าาาาไปนั่งฟัง Prof. คือแบบชัดเลยว่ายามันมุดเข้าซอกไหนของโปรตีนไปทำให้เซลล์แบคทีเดียเดี้ยงได้ยังไงคือมันจะมียากลุ่มที่ฆ่าแบคทีเรีย (ยาฆ่าเชื้อ)กลุ่มที่ไปจัดการไรโบโซมของแบคทีเรีย(ไรโบโซมคนกับแบคทีเรียไม่เหมือนกันนะ)นั่นแหละจ้าาาา ที่เรียนมาคือเห็นภาพพพพคือ Prof. พรีเซ็นเป็นคลิปสวยๆเลยด้วยความดีด กลับมหาลัยไปเดินไปก่อกวน อ ที่สอน MedChem เรื่องนั้นอีก อิอิว่ามันน่าตื่นตาตื่นใจมากกกกกกps. ฟัง Prof. Ada มาหลายรอบ สิ่งนึงที่ไม่เปลี่ยนคืออายุหลานสาว Prof ที่นังเด็กเสมอ บางทีก็แอบคิดว่าหลาน Prof อาจจะๆไล่เลี่ยกับเรา
#NobelPrize #ScienceEducation #MedicinalChemistry #Ribosomes #Inspiration #AcademicLife #RealWorldLearning