- formatting
- images
- links
- math
- code
- blockquotes
- external-services
•
•
•
•
•
•
-
ถ้าเธอติ่ง GOT7 ฉันก็คงติ่งนักวิทยาศาสตร์
ถ้าเธอติ่ง GOT7 ฉันก็คงติ่งนักวิทยาศาสตร์
.
รูปนี้เป็นงานประชุมเมื่อปลายมีนาที่ผ่าน
ซึ่งฉันอยู่ในรูป? เปล่าเลยยยย เข้าแบบออนไลน์แงงงง
แต่เป็นงานที่ฟินมาก เหมือนนักวิทยาศาสตร์รุ่นเก๋ามารวมตัวกัน
เหมือนไปฟังคุณปู่ คุณตาเล่าเรื่อง
ดีดไม่ต้องหลับต้องนอนกันไปเลย
.
ในความกรี๊ดกร๊าดในผลงานว่า “เค้าค้นพบอะไร”
สิ่งที่น่าทึ่งกว่าคือ “คิดมาได้ไง”
.
ถ้าถามว่าอยากได้อะไรที่สุดในการเรียน ป เอก
คำตอบอย่างเดียวเลย “เป็น Philosopehr”
หรือง่ายๆก็คือ “Thinker”
แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้มาง่ายๆแฮะ
.
วิธีคิดทางวิทยาศาตร์เป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดอย่างนึง
เราเองพร่ำถามคำถามนี้มาตลอดตั้งแต่เริ่มรู้จักวิทยาศาสตร์
เริ่มตั้งแต่ตอนมีข่าวนักวิจัยหญิงจากญี่ปุ่นคนนึง
ตอนนั้นดังมากใช้ชุดเมดเป็นชุดแลปเก๋ๆ
แต่สุดท้ายก็มีข่าวออกมาว่างานนั้นลวงโลก
PI ฆ่าตัวตาย แถมด้วยนักวิจัยคนนั้นผันตัวเข้าวงการ AV
.
ตอนเรียน ป เอก อาจารย์ที่ปรึกษา
เคยตีพิมพ์ Nature Letter
ก็สงสัยมาตลอดว่า อาจารย์ทำยังไงถึงคิดได้อย่างนี้
ตอนนั้นพอมีช่วงว่าง ถึงขั้นปริ้นเปเปอร์ของ อ ทั้งหมดมาอ่าน
เป็นรีมเลย แต่สุดท้ายก็ยังหาคำตอบไม่ได้อยู่ดี
.
วิธีคิดทางวิทยาศาสตร์มันซับซ้อน
และแตกต่างจากกระบวนอย่างชัดเจนของตัวมันอยู่มาก
ทั้งที่เราวางแผนการทดลองอย่างเป็นเหตุเป็นผล
มีลำดับขั้นที่ชัดเจนราวกับช่วงที่มีแสงส่องทางอย่าง DAY SCIENCE
แต่ลำดับความคิดนั้นกว่าจะตกผลึกได้
กลับเต็มไปด้วยความสับสน ลังเล
หมุนวนอยู่ในหัวตลอดทั้งคืนหรือ NIGHT SCIENCE
.
Night Science ถูกพูดถึงครั้งแรกโดย François Jacob (Noble 1965)
และถูกขุดขึ้นมาอีกครั้งโดย Itai Yanai และเพื่อน
เค้ามี podcast ที่เชิญนักวิจัยดังๆมาคุยเรื่องนี้ด้วยนะ
แต่เรื่องการคิดมันซับซ้อนเกินกว่าจะเรียกว่า How to
.
สิ่งหนึ่งที่พัฒนากระบวนการคิดได้มาก
ก็คือการแก้ปัญหาจริงๆ นั่นก็คือทำวิจัยนั่นแหละ
และที่สำคัญคือทิศทางการวิจัย
ซึ่งเรื่องนี้ scientific lineage สำคัญมาก
(เคยเขียนไว้ในบทความก่อนๆ)
.
การจะคิดได้ดูเหมือนจะซับซ้อน
การได้กระทบไหล่ ฟังผลงาน มีโอกาสถามคำถาม
คือสิ่งที่กระตุกต่อมคิดได้ชั้นเลิศ
เอาทุกอย่างกลับมายำรวมกัน (แบบมีหลักการ)
แล้วใช้จริงกับงานวิจัยตรงหน้า
.
การได้ฟังเรื่องเล่า รู้จักการค้นพบ
ได้เล่ามันออกจากความที่ว่าเราอินจริงๆ
เหมือนที่อาจารย์ปรึกษาชอบทำ 5555
มันคือการสร้างแรงบันดาลใจอย่างนึง
.
มีคำกล่าวว่า
ครูที่ดีสอน
ครูที่ดีขึ้น ยกตัวอย่าง
สุดยอดครู สร้างแรงบันดาลใจ
.
คงจะดีกว่าเมากันในวงการวิทย์คือ
เล่าให้คนนอกวงการฟังแล้วเค้าฟินไปด้วย
ถ้าได้ไปฟังเจ้าของรางวัลโนเบลตัวเป็นๆ
คงจะฟินมาก คงจะเตรียมตัวโดยขุดอ่าน
งานของเค้าจนตาเปียกตาแฉะ
รวมไปถึงบริบทการค้นพบ สิ่งที่ขาด
สิ่งที่การค้นพบนี้าเติมเต็ม
.
และนี่คือที่มาของการสมัครงานประชุมลินเดา
เยอรมันจะเรียกหามั้ยไม่รู้
รู้แต่หัดภาษาเยอรมันมาสักพักละ 5555
ภาพจาก Cancer Genetics: History and Consequences
จัดโดย Cold Spring Harbor Laboratory
.
ตอนอื่นๆ ของการบุกดงวิจัยที่เคยเขียนไว้- ตอนที่ 0: สะเปะสะปะกว่าจะมาถึงเส้นทางวิจัย
- ตอนที่ 1: ค่ายไม่เล็กที่มีแต่ผู้ใหญ่ใจดีปูทางเด็กบ้านนอกสู่เส้นทางวิจัย
- ตอนที่ 2: ตรึงใจเด็ก ม.ปลาย เปิดโลกวิจัยที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์
- ตอนที่ 3: ตะลุยดงวิจัย ทำไมวิจัยมีมะเร็งมีหลายแบบจัง
- ตอนที่ 4: รู้จักมะเร็งแบบเหนือชั้น เหนือพันธุกรรมคืออะไร
- ตอนที่ 5: เมื่อฉันรักวิทยาศาสตร์ อย่างที่ไม่สนมะรงมะเร็งอะไรทั้งนั้น -
From Cell line to Command Line & The most Headachest person 🤣
From Cell Line🧫 to Command Line💻
& The Most Headachest person🤫
Me as…
🧫 Wet lab = Headache
💻 Dry lab = more Headache
🧫🧬💻 Hybrid Wet-Dry = The most Headache
🤯 Anyone else feel like a human ping-pong ball between the wet lab and dry lab? 😅
I made the leap from bench work to bioinformatics hoping to be the ultimate translator... turns out, sometimes I'm just fluent in headache (on both sides! 😂).
Seriously though, open and early communication between our wet lab wizards and dry lab dynamos is KEY! Instead of waiting for the data to land, let's chat before experiments, during analysis, and really understand each other's world. It's a two-way street, folks!
Bridging this gap isn't just about fewer headaches for us hybrids; it's about getting the absolute BEST out of our amazing skills and resources on both sides.
Let's talk more, collaborate better, and make some awesome discoveries together! 🚀
For everyone who transform from wet to dry like me, I would recommend a book from 🎯 Ming "Tommy" Tang “From Cell Line to Command Line” (https://lnkd.in/gE93XdQ5)
=============
As a Computational Biologist, I am just one step beyond you, also still a newbie! Keep in touch!
🌸 Thai language: NO CANCER FB page/Blogger (https://lnkd.in/gQa3apBc or https://lnkd.in/gTqDK8MA)
🧬 English language: The Whispers of Biology (LinkedIn/Blogger) (https://lnkd.in/gRTnrpRz or https://lnkd.in/gRe_VtUF)
Science Research Biotech LifeSciences STEM Bioinformatics ComputationalBiology -
#นศภAndTheWard ภาคสุดท้าย วันที่ 4-6 (3/3)
#นศภAndTheWard ภาคสุดท้าย วันที่ 4-6
วันที่ 4
- มาถึงวอร์ดเร็วกว่าคนอื่นเลยเดินตามทีมแพทย์ราวน์ จากที่เมื่อวานพอจะตอบคำถามได้บ้างวันนี้เลยโดนถามอีก เป็นคำถามเกี่ยวกับยาจิตเวช ครัช เงิบครัช ไม่เรีรยนทีตอบไม่ถูก ตึ๊ง!!! (เห็นบรรยายสั้นแบบนี้ของจริงเงิบมากนะครัช บางทีก็คิดว่าข้า(พเจ้า)หน้าแก่ป่าวหว่ะ อาจารย์ชอบถามจัง T T มีคนบอกว่าดูมีภูมิต่ะหาก ภูมิอะไร? ภูมิแพ้กิหว๊าาา)
- เจอเงิบ แบบไม่ CPR เลยเลยฮ่ะ ตอนเช้า นศภ.น้ำทิพย์ยืนคุยเคสกับพี่หมอ extent ที่ปลายตรีน เอ้ย ปลายเตียงคนไข้ว่าด้วย Bradycardia ตกบ่ายมา นศภ.น้ำทิพย์ กำลังดูยาจากคอมซึ่งที่ตั้งคอมมันติดกับเตียงนั้นอ่ะนะ อยู่ๆก็ได้ยินเสียงหญิงสาวร้องไห้ ฮึ๋ยยยย เตียงที่เรายืนปลายตรีนเมื่อเช้าเสียซะแล้ว เงิบ!!!! #RIP
วันที่ 5 วันจันทร์
- วันนี้พี่เภสัชไม่อยู่ฮ่ะ นศภ.น้ำทิพย์ กับพี่ นศภ.ปี 6 เลยเหมาๆ Med reconcile รับใหม่ซะเกลี้ยง ward
- เจอ case แพ้ยา SJS ด้วย พอเปิดรูปดูในเน็ทรูปลักษณะคนไข้ไม่เหมือนกันเลย แต่ไม่กล้าเข้าไปถามไว้พรุ่งนี้แล้วกัน
วันที่ 6
- ตอนเช้าตามเคส แพ้ยา SJS สืบอาการและการรักษามาอย่างดี จะได้หายสงสัยกันหล่ะทีนี้ พอไปถามประวัติคร่านี้ถึงบางอ้อเลยฮ่ะ อาการแสดงที่เราคิดว่ามันเกี่ยวกับ SJS ความจริงมันเกี่ยวโรคประจำตัวและการรักษาที่เค้าได้รับต่างหาก
- ตอนบ่ายไปดู case TDM ของยา Phenytoin หลังจากที่เฝ้ารอมาแสนนาน
--------------------------------------------------------------------------------------
สาระนิดๆ
การแพ้ยา เป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดกับผู้ป่วยคนไหนฮ่ะ เพราะงั้นอย่าด่าหมอ ด่าเภสัชเลยฮ่ะ สิ่งที่ทำได้คือเมื่อเกิดอาการแพ้ เช่น ผื่น ตาบวม ให้รีบกลับมาพบแพทย์ หรือจะไปปรึกาาเภสัชกรร้านยาก็ได้ฮ่ะ แต่!!!อาการที่เหมือนอาการแพ้ท้องเช่นคลื่นไส้ อาเจียน นั่นไม่ได้แปลว่าแพ้ยานะฮ่ะ มันไม่เหมือนกัน นั้นเรียกว่าผลข้างเคียงฮ่ะ สงสัยเรื่องยาถามหาเภสัชกรฮ่ะ
#นศภAndTheWard ก็จบลงแค่นี้
... ดูเหมือนข้าพเจ้าจะหรรษากับการอยู่วอร์ดนะฮ่ะ ความจริงตอนแรกไม่ชอบวิชาจำๆซึ่งเป็นวิชาที่ต้องใช้ที่ ward เลยฮ่ะ แต่พอเห็นคนไข้ยิ้มข้าพเจ้าก็ Happy ฮ่ะ รู้อยากหนังสือให้จำได้ จะได้เป็นประโยชน์ต่อทีมแพทย์และผู้ป่วยมากกว่านี้ฮ่ะ อยู่โรงพยาบาลข้าพเจ้าลั้ลลาและ Happy กับ Ward มากจนมีพี่ๆถามว่าเรียนสายบริบาลเภสัชรึเปล่า พอรู้ว่าไม่ก็โดนถาว่า จะย้ายสายรึป่าว ข้าพเจ้าตอบอย่างมั่นใจเลยว่าข้าพเจ้าชอบ science มากกว่า ^__^ แต่ข้าพเจ้าก็ชอบรอยยิ้มคนไข้นะ และข้าพเจ้าก็ชอบงานที่ท้าทายด้วย-- ลาก่อนฮ่ะโรงพยาบาลเราอาจจะได้เจอกันอีกตอนทำงานหรืออาจจะไม่เจอกันอีกเลย ^___^ บทความสวยๆของการฝึกงานทั้งหมดนี่จะอยู่ใน progress ส่งเจ้าของทุนที่ส่ง นศภ.น้ำทิพย์เรียนอยู่ทุกวันนี้ฮ่ะ ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะได้อ่าน และแน่นอนว่าคงไม่เผยแพร่สู่สาธารณะ อิอิ
...ด้วยความกระตือรือร้นเท่าที่จะทำได้
นศภ.น้ำทิพย์
เขียนเมื่อ 15 สิงหาคม 2558
-
#นศภAndTheWard #นศภAndTheDrugStore ตอน #มาม่าวันแม่ (2/3)
#นศภAndTheWard #นศภAndTheDrugStore ตอน #มาม่าวันแม่
จากประโยคที่ค้างไว้ว่า "ยังไงก็ขายให้ไม่ได้ค่ะพี่ พาแม่ไปโรงพยาบาลดีกว่านะคะ" เรื่องแรกนี้คล้ายกับเรื่องมาม่าดัง ๆ ที่ลูกค้าจะมาซื้อยาให้ได้ และอีกเรื่องก็คือ "#เค้าเป็นเลือดเนื้อของพี่นะ พี่จะทำเค้าได้ลงเหรอ" ที่ทำเอา นศภ. และพี่เภสัชถึงกับอึ้งกันไปทั้งคู่ เรามาดูกันว่าเรื่องราวเป็นยังไงบ้าง
เคสแรก: "ยังไงก็ขายให้ไม่ได้ค่ะ"
เป็นเรื่องของสองนักศึกษาเภสัชหน้าตาจิ้มลิ้ม ที่มีแม่ (อายุประมาณ 70 ปี) และลูก (อายุประมาณ 40 กว่าปี) เข้ามาในร้าน
ลูก: "ซื้อยาเบาหวานให้แม่ค่ะ ยาเป็นแผงเงิน ๆ เม็ดสีขาว"
นศภ.: (หยิบยาแผงฟอยล์สีเงินเม็ดขาวที่มีนับไม่ถ้วนมาให้ดู) "ลักษณะคล้ายอันไหนคะ ปกติคุณป้ากินยังไง รับยาที่ไหนอยู่ ขาดยานานเท่าไหร่คะ"
ลูก: (เริ่มไม่แน่ใจและตอบไม่ถูก) "เอาแผงเงิน ๆ แบบนี้แหละค่ะ เอาไปให้แม่กินก่อน" พร้อมพยายามพูดสารพัดเพื่อให้ขายยาให้ได้ ในขณะที่คุณแม่ก็ช่วยพูดด้วยสีหน้านิ่ง ๆ
นศภ. (น้ำทิพย์) เริ่มหันหน้ามองเพื่อนและคิดในใจว่า "เอาไงต่อดีวะ? ฉันไม่มีทางขายให้แน่ ๆ" แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นรอยคล้าย ตะขาบเกาะบนหน้าอก ของผู้เป็นแม่ จึงได้จังหวะถามเพิ่ม
นศภ. (น้ำทิพย์): "คุณป้ามีโรคประจำตัวอะไรบ้างไหมคะ"
แม่: "เคยผ่าตัดหัวใจ"
นศภ. (น้ำทิพย์): "อ๋อ! เป็นโรคหัวใจเหรอคะ? งั้นคงขายยาให้ไม่ได้นะคะป้า เพราะไม่มีตัวอย่างยาหรือซองยามาเลย ยาเบาหวานมีเยอะมาก ถ้ากินผิดอันตรายมากนะคะ ยิ่งคุณป้าเคยผ่าตัดหัวใจด้วย ถ้ามียาเดิมมาจะยังพอขายให้ได้ค่ะ"
สองแม่ลูกบ่นพึมพำแล้วก็เดินออกจากร้านไป นศภ. (น้ำทิพย์) รู้สึกโล่งใจเหมือนชนะ แต่นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น...
เช้าวันถัดมา สองแม่ลูกกลับมาอีกครั้ง!
ลูก: "พี่เอายามาให้น้องดู" (ลูกสาวยื่นถุงให้พร้อมยาที่เป็นเม็ดสีขาวแค่ครึ่งซีก) "ยาของแม่ที่เคยกิน ซองลิงมันขโมยไปแล้ว เหลือแค่นี้"
นศภ. (น้ำทิพย์): (หยิบยาครึ่งซีกนั้นมาดู) ยาลักษณะกลม แบน มีตัวอักษรเขียนว่า RA นศภ. เลยค้นถุงยาต่อและเจออีกครึ่งหนึ่ง เมื่อนำมาต่อกันก็อ่านได้ว่า PARA
นศภ. (น้ำทิพย์): (ยื่นเม็ดยาให้ลูกค้าดู) "พี่ลองดูนี่สิคะ นี่ต่อกันแล้วได้คำว่า PARA มันคือยาพาราลดไข้นะคะ ไม่ใช่ยาเบาหวาน"
ลูก: "แม่ ๆ (พูดภาษาใต้) นี่มันยาพารา ไม่ใช่ยาเบาหวาน แม่หยิบผิดอีกแล้ว" (ว่าแม่ตัวเอง)
นศภ. (น้ำทิพย์): ได้แต่ยิ้มในใจอย่างสะใจ
ลูก: "งั้นพี่ซื้อยาเบาหวานให้พ่อ เอาแบบที่น้องให้ดูเมื่อวาน"
นศภ. (น้ำทิพย์): (เริ่มสงสัยในเจตนา) "พ่อพี่น้ำหนักเท่าไหร่คะ สูงเท่าไหร่ เป็นเบาหวานมานานยัง"
เมื่อได้ข้อมูล นศภ. ก็ประมวลผลและรู้สึกว่าคำตอบของลูกสาวไม่น่าเชื่อถือ จึงตอบไปว่า "พี่ต้องเอาตัวอย่างยาที่ลุงเคยทานมาให้ดูก่อนนะคะ หนูขายไม่ได้ค่ะ"
ในที่สุดสองแม่ลูกก็บ่นกันเองจนรู้ว่าแท้จริงแล้วคือจะซื้อยาไปให้แม่กินนั่นแหละ นศภ. จึงยืนยันคำเดิมอย่างหนักแน่นว่า "ยังไงก็ขายให้ไม่ได้ค่ะพี่ พาแม่ไปโรงพยาบาลดีกว่านะคะ" และอธิบายเรื่องความอันตรายของยาเบาหวานกับโรคหัวใจให้ฟังจนผู้เป็นแม่ยอมไปโรงพยาบาลในที่สุด
เคสที่สอง: "#เค้าเป็นเลือดเนื้อของพี่นะ"
เคสนี้เป็นเรื่องของการทำแท้ง บ่ายวันหนึ่งมีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาซื้อที่ตรวจครรภ์ และวันรุ่งขึ้นเธอก็กลับมาถามหายาขับเลือด
ลูกค้า: "น้องมียาขับเลือดไหม"
พี่เภสัช: "ไม่มีค่ะพี่" (นศภ. ที่ฝึกงานถึงกับอึ้ง)
ลูกค้า: "เมื่อวานพี่มาซื้อที่ตรวจครรภ์ มันขึ้น 2 ขีด"
พี่เภสัช: "หนูก็บอกพี่หลายครั้งแล้วเรื่องยาคุมฉุกเฉิน..." (หมายความว่าเธอเคยมาปรึกษาเรื่องยาคุมฉุกเฉินแล้ว)
ลูกค้าก็พูดต่อว่าเลี้ยงลูกไม่ได้แล้ว เพราะมี 4 คนแล้ว
พี่เภสัช: "เค้าเป็นเลือดเนื้อของพี่นะ พี่จะทำเค้าได้ลงเหรอ" #พี่กำลังจะเป็นฆาตกรฆ่าคน เลยนะ ถ้าลูกคนนี้เกิดมาเป็นลูกที่เลี้ยงดูพี่ เป็น #ลูกหัวแก้วหัวแหวน ของพี่ล่ะ"
ลูกค้าเดินออกจากร้านไปด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า นศภ. ทั้งคู่ต่างก็ชื่นชมพี่เภสัชในใจว่าสุดยอดมาก เพราะพี่เภสัชสามารถรับมือกับสถานการณ์นี้ได้อย่างดีเยี่ยม
สาระดี ๆ เรื่องการคุมกำเนิด
การคุมกำเนิดมีหลายวิธี ทั้งยาคุมแบบกินทุกวัน ยาฉีด แผ่นแปะคุมกำเนิด และถุงยางอนามัย
ถุงยางอนามัย เป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะนอกจากจะคุมกำเนิดแล้ว ยังป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ด้วย แต่ก็ไม่ได้คุมได้ 100%
ยาคุมฉุกเฉิน ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด แต่เป็นวิธีที่สะดวกที่สุด ประสิทธิภาพต่ำกว่ายาคุมปกติ และอาจส่งผลกระทบต่อระดับฮอร์โมนและรอบเดือนในระยะยาวได้ แต่ถ้าฉุกเฉินจริง ๆ ก็ควรใช้
ไม่ว่าจะใช้วิธีคุมกำเนิดแบบไหนก็ตาม สามารถปรึกษาเภสัชกรที่ร้านยาได้เสมอ เภสัชกรไม่ตัดสินคุณ แต่กลับยินดีที่ได้ให้คำแนะนำมากกว่าการมาปฏิเสธเรื่องยาทำแท้ง
ข้อคิดสุดท้าย: ป้องกันไว้ดีกว่านะคะ คิดถึงอนาคตให้มาก ๆ ไม่ใช่แค่ความสนุกชั่วคราว...เขียนเมื่อ 14 สิงหาคม 2558 -
ดาบพิฆาตมะเร็ง: HERDARA ปราณมุ่งเป้า 🔥
ตัวละคร
- ชื่อ: เคนจิ สลาโมน (Kenji Slamon)
- ตั้งชื่อตาม Dennis Slamon ผู้บุกเบิก Trastuzumab
- “Kenji” = ความแข็งแกร่ง + ญี่ปุ่น
- “Slamon” = เชื่อมกับนักวิทยาศาสตร์จริง
- สมญา: เสาหลักชีวโมเลกุล (Hashira of Biomolecules)
- บทบาท: นักรบที่ใช้ “ปราณมุ่งเป้า” ในการปราบมะเร็งชนิด HER2-positive
==========ปราณปราบมะเร็ง (HER2 Breathing)
ปราณนี้เลียนแบบ กลไกการรักษาด้วยยามุ่งเป้า (targeted therapy)
สร้างพลังคลื่นพลังงานเล็งเป้าหมายที่ “ตัวรับ HER2” โดยตรง
ทำให้การส่งสัญญาณที่ผิดปกติถูกยับยั้ง → อสูร (เซลล์มะเร็ง) หยุดการเติบโตและแพร่กระจาย
========อาวุธ
- ดาบโมเลกุล (Molecular Blade): ใบดาบแกะลายโครงสร้างโปรตีน HER2
- โล่แอนติบอดี (Antibody Shield): จำลองมาจาก Trastuzumab/HERDARA ใช้ป้องกันการโจมตี และสะท้อนพลังกลับใส่อสูร
========กระบวนท่า
1. กระบวนท่าที่หนึ่ง: ฟันเจาะจุดรับสัญญาณ (Receptor Cleave)
→ โจมตีตรงจุด HER2 receptor ทำให้สัญญาณการเจริญเติบโตหยุดชะงัก
2. กระบวนท่าที่สอง: เกราะยับยั้งการแบ่งตัว (Cell Division Seal)
→ ใช้โล่แอนติบอดีสร้างกำแพง ป้องกันการแบ่งเซลล์และแพร่กระจาย
3. กระบวนท่าที่สาม: ดาบพิฆาตการส่งสัญญาณ (Signal Termination Strike)
→ ตัดขาดการส่งสัญญาณ PI3K/AKT และ MAPK pathway ของอสูร
4. กระบวนท่าที่สี่: พลังเสริมภูมิคุ้มกัน (Immune Boost Surge)
→ เรียกการโจมตีจาก “นักรบภูมิคุ้มกัน” (immune cells) เข้าล้อมอสูร เหมือน ADCC ของ Trastuzumab
5. กระบวนท่าที่ห้า: เฮอร์ดาราพิฆาต (HERDARA Final Suppression)
→ ท่าไม้ตาย ใช้พลังทั้งหมดรวมกัน ปิดกั้น HER2 receptors ทุกตำแหน่งจนสิ้นฤทธิ์
============Lore & เนื้อเรื่อง
- เคนจิ สลาโมน เคยเป็นนักวิจัยที่สูญเสียครอบครัวให้กับ “อสูรมะเร็ง HER2”
- เขาศึกษาและฝึกฝนจนเข้าใจกลไกชีววิทยาของโรค
- แปรเปลี่ยนความรู้ทางการแพทย์ → เป็น “ปราณปราบมะเร็ง”
- กลายเป็นเสาหลักที่ใช้ วิทยาศาสตร์และพลังจิตใจ ปราบอสูรที่เคยคร่าชีวิตผู้คนมากมาย