- formatting
- images
- links
- math
- code
- blockquotes
- external-services
•
•
•
•
•
•
-
🔥เมื่อ “เสาหลักแห่งดาบพิฆาตอสูร” ต้องสู้กับ “อสูรมะเร็ง”
🔥เมื่อ “เสาหลักแห่งดาบพิฆาตอสูร” ต้องสู้กับ “อสูรมะเร็ง”
กลยุทธ์การรักษาในโลกจริงจะเทียบกับอะไรได้บ้าง?เสาหลัก × กลยุทธ์ฆ่ามะเร็ง1. 🌊 กิยู – วารี → เคมีบำบัด (Chemotherapy)
👉🏻โจมตีแบบ “กวาดวงกว้าง” ไหลไปทั่วสนามรบ กำจัดศัตรูได้มาก แต่โดนเพื่อนร่วมทีมบ้าง (ผลข้างเคียง)
2. 🔥 เร็นโกคุ – เพลิง → รังสีรักษา (Radiotherapy)
👉🏻เผาเป้าหมายเฉพาะจุด ทำลาย DNA ให้แตกหัก เหมาะกับการ “จี้” บริเวณสำคัญ
3. 🦋 ชิโนบุ – แมลง → Targeted Therapy / Monoclonal Antibody
👉🏻พิษปลายเข็มเล็กแต่คม เล็ง “จุดอ่อนระดับโมเลกุล” เช่น HER2, EGFRตัวอย่าง: Trastuzumab (เช่น HERDARA) จับ HER2 แล้วหยุดสัญญาณการโต
4. 🌫️ โทคิโตะ – หมอก → นาโนเทคโนโลยีส่งยา (Nanomedicine/Drug Delivery)
👉🏻อนุภาคเล็กแทรกซึมลึก หลอกการป้องกันของศัตรู พายาไปปลดล็อกในเป้า
5. 💥🎶 อุซุย – เสียง → ผ่าตัด (Surgery)
👉🏻วางจังหวะ-ระเบิดอย่างแม่นยำ “ตัดก้อน” ออกจากสนามรบ คือการเอาศัตรูตัวใหญ่พ้นฉาก
6. 🐍 โอบะไน – อสรพิษ → ภูมิคุ้มกันบำบัด Immunotherapy (Checkpoint Inhibitors/ADCC)
👉🏻ปลดเบรกภูมิคุ้มกัน ให้ T-cell กลับมามีพิษร้าย ไล่ล่าศัตรูอย่างเจาะจง
7. 💗 มิตสึริ – รัก → ฮอร์โมนบำบัด (Endocrine Therapy)
👉🏻ปรับฮอร์โมนให้ศัตรู “หมดแรง” อ่อนโยนแต่ยืดหยุดการเติบโตได้ยาวนาน
8. 🪨 เกียวเม – หิน → รักษาแบบผสมผสาน Combination/Multimodal Therapy
👉🏻พื้นฐานมั่นคง รวมพลังหลายวิธี: ผ่า + เคโม + ฉายแสง + ยามุ่งเป้า = ปราการเหล็ก
9. 🌪️ ซาเนมิ – วายุ → เซลล์บำบัด Cellular Therapy (CAR-T / Adoptive T Cell)
👉🏻กำลังเสริมบ้าพลัง พุ่งเข้าชนตรงเป้า ฉีกกฎเดิมๆ ของสนามรบเสริมพิเศษ (ยังไม่ใช่เสาหลักแต่โหด):
🧬 Antibody–Drug Conjugate (ADC) = ดาบปลายยาพิษพิเศษ (เช่น T-DM1)
🎯 Radioligand/PRRT = ลูกศรเรืองรังสีจี้เป้า
🌱 Anti-angiogenesis = ตัดเสบียง เลือดไปไม่ถึงก้อน
#CancerEducation #Oncology #TargetedTherapy #Immunotherapy #HER2 #Trastuzumab #HERDARA #DemonSlayer #ScienceCommunication #NoCancerThailand -
Who is Dick? on the top of CalTech Library
เราคิดถึงคุณดิกกกก (อ่านชื่อแล้วคิดดีไม่ได้เลย)
We miss youuuu Dickkkk! (Okay… reading that name in English, you just can’t think innocent thoughts 😂)
At first glance, I thought “wait…what??”
Because in slang, Dick = little Pikachu ⚡️
But then Dr. Bunchar Tanaboonsombat kindly explained with a photo…
Ohhh right, it’s the nickname for Richard!So who was the mysterious Richard that got such a bold love confession on top of our university library building?
❤ None other than the extraordinary Richard Feynman ❤
Nobel Prize–winning physicist, and one of the most beloved science teachers of all time.His students loved him so much that even 30 years after his passing, they hung this tribute up high on campus.
And honestly, if you’ve ever read or listened to Feynman, you’d get it—he wasn’t just brilliant, he was hilarious. You can check out Dr. Buncha’s podcast (super fun storytelling, even featuring Maxwell recently!).
💡 Now, how does a biologist like me end up lost in Feynman’s world?
Well… it started with me struggling to write a “statement of purpose” for my scholarship report.I love research. I don’t hate teaching. I actually enjoy tutoring friends and juniors.
But if I had to give up research? I’d probably dry up and die 🌱☠️This impressed me that 'The two sides of the coin benefit each other.'While the importance of research for a teaching professor is clear,my question was the opposite: 'If I love doing research, why do I need to teach?'That’s when I remembered a talk by Prof. Jisnuson Svasti., who once flashed this slide: “Teaching and research: Opposite faces of the same coin?”
This is the article: Teaching and research: Opposite faces of the same coin?
And it clicked.
If you love research, teaching isn’t just an obligation.
It’s a way of crystallizing ideas, throwing them like little research boomerangs 🪃 at students, and then watching those ideas grow bigger than you imagined.
So, here I am. Writing scholarship reports ✍️, reading Feynman’s stories, and following Dr. Buncha’s shows like a fangirl.
And somewhere along the way, I realized:
Maybe I don’t have to choose between teaching and research.
Maybe both sides of the coin can make life… balance. 😉
#RichardFeynman #Science #Research #Teaching #CareerPath #Inspiration #AcademicLife #DrBanchaRead more: The Whispers of Biology’s content table -
เราคิดถึงคุณดิ๊กกกก (อ่านชื่อแล้วคิดดีไม่ได้เลย)
เราคิดถึงคุณดิกกกก (อ่านชื่อแล้วคิดดีไม่ได้เลย)
แวบแรกก็คือคิดดีไม่ได้Dick เป็นสแลงค์ = เจ้าปิกัสจู นั่นเองแต่คนที่ส่งภาพนี้มาให้คือ ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติแล้ว อ บัญชา ก็อธิบายต่อไปด้วยภาพด้านล่างเลยถึงบางอ้อว่า อ๋ออออ ชื่อเล่นของ Richard!ก็ถึงว่าใครจะไปบอกรักปิกัสจูอยู่บนยอดตึกห้องสมุดของมหาลัยขนาดนี้ 😆บอกรักกันขนาดนี้ ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ❤คนไม่ธรรมดาที่ถูกบอกรักบนยอดตึกหอสมุด ❤
คนไม่ธรรมดาคนนั้นคอ Richard ที่ชื่อดังก้องโลกวิทยาศาสตร์Richard Feynman นักฟิสิกส์เจ้าของรางวัลโนเบลFeynman คงเป็นคนที่ลูกศิษย์รักมากๆภาพนี้ลูกศิษย์เค้าไปแขวนไว้บนหอสมุดหลังจากที่เค้าจากไปแล้วถึง 30 ปีเรื่องราวของ Feynman มีเล่าไว้ใน podcast โดย อ บัญชา ฟังเพลินสนุกมากเป็นนักวิทยาศาสตร์อารมณ์ดีเลยทีเดียวตามฟังไว้ได้ที่ Link นี้เลยเรื่องราวของ Feynman ดังหลุดโลกฟิสิกส์มาถึงนักชีววิทยาอย่างเราได้อย่างไร🧬
เรื่องมันเริ่มมาจากต้องเขียนจดหมายรายงานตัวใช้ทุนกับคิดไว้ลางๆ สักหน่อยว่าหากถูกถามว่าอยากทำงานแนวไหน คงต้องมีคำตอบหลังจากที่คิดหนักมากแต่คิดไม่ออก วิจัยก็ชอบมากๆ งานสอนก็ดูไม่แย่ เพื่อนๆ น้องๆ ชอบให้ติวหนังสือ อาจารย์คณบดีตอน ป ตรี ก็ยังจำได้เลยว่าติวหนังสือให้เพื่อนบ่อยๆ ตอนมาเรียน ป เอก ก็ชอบแกล้ง/สอน น้องๆฝึกงานแต่ถ้าขาดวิจัย คงถึงกับเฉาตายตกลงเอาไงดีแงงงงงนึกขึ้นได้ถึงสไลด์หน้าหนึ่งที่อาจารย์ชิษณุสรร สวัสดิวัตน์เคยหยิบขึ้นมาพูดช่วงทีมีข่าวเรื่องคนซื้อขายงานวิชาการเพื่อตีพิมพ์กันเยอะๆ
ส่วนหนึ่งที่อาจารย์พูดในวันนั้นก็คือสไลด์ด้านล่างนี้“ทั้ง 2 ด้านของเหรียญต่างให้ประโยชน์แก่กันและกัน”เรื่องนี้น่าสนใจมาก ถึงกับต้องตามไปอ่านบทความเมื่อปี 2006 ที่อาจารย์ชิษณุสรรเขียนไว้
บทความชื่อ Teaching and research: Opposite faces of the same coin?
ท่ามกลางความสำคัญว่าทำไม“อาจารย์ที่น่าจะสอนเป็นหลัก ก็จำเป็นต้องทำวิจัย”คำถามของเราคือตรงกันข้าม“แล้วถ้าเราชอบทำวิจัยหล่ะ เราต้องสอนเพื่ออะไร”แต่ก็มีคำตอบกลายๆ ไว้ในบทความแล้วดูเหมือนการทำวิจัยอาจจะไม่ใช่แค่การพุ่งไปข้างหน้าแต่ได้ย้อนกลับมาตกผลึกหลายๆอย่างและน่าจะดีไปกว่านั้นถ้าได้คายตะขาบความวิจัยแบบดีดๆให้ใครสักคนต่อแล้วค่อยๆเฝ้ามองเค้าเติบโตในวงการวิชาการนั่นเลยเป็นข้อสรุปของการเขียนจุดหมายรายงานตัใช้ทุนพร้อมๆกับเป็นจุดเริ่มต้นของการอ่านเรื่องราวของ Feynman และติดต่อ อ.ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติเพราะอ่านประวัตินักฟิสิกส์จากหนังสือของอาจารย์มาหลายเล่มเลยล่าสุดอาจารย์ก็มี รายการ Eureka ท่องโลกวิทยาการณ์ เล่าสนุกฟังเพลินมากเลย ล่าสุดมีตอน Maxwell ด้วย คุ้นๆชื่อหล่ะสิ ตามไปฟังกันได้เลย -
ถ้าเธอติ่ง GOT7 ฉันก็คงติ่งนักวิทยาศาสตร์
ถ้าเธอติ่ง GOT7 ฉันก็คงติ่งนักวิทยาศาสตร์
.
รูปนี้เป็นงานประชุมเมื่อปลายมีนาที่ผ่าน
ซึ่งฉันอยู่ในรูป? เปล่าเลยยยย เข้าแบบออนไลน์แงงงง
แต่เป็นงานที่ฟินมาก เหมือนนักวิทยาศาสตร์รุ่นเก๋ามารวมตัวกัน
เหมือนไปฟังคุณปู่ คุณตาเล่าเรื่อง
ดีดไม่ต้องหลับต้องนอนกันไปเลย
.
ในความกรี๊ดกร๊าดในผลงานว่า “เค้าค้นพบอะไร”
สิ่งที่น่าทึ่งกว่าคือ “คิดมาได้ไง”
.
ถ้าถามว่าอยากได้อะไรที่สุดในการเรียน ป เอก
คำตอบอย่างเดียวเลย “เป็น Philosopehr”
หรือง่ายๆก็คือ “Thinker”
แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้มาง่ายๆแฮะ
.
วิธีคิดทางวิทยาศาตร์เป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดอย่างนึง
เราเองพร่ำถามคำถามนี้มาตลอดตั้งแต่เริ่มรู้จักวิทยาศาสตร์
เริ่มตั้งแต่ตอนมีข่าวนักวิจัยหญิงจากญี่ปุ่นคนนึง
ตอนนั้นดังมากใช้ชุดเมดเป็นชุดแลปเก๋ๆ
แต่สุดท้ายก็มีข่าวออกมาว่างานนั้นลวงโลก
PI ฆ่าตัวตาย แถมด้วยนักวิจัยคนนั้นผันตัวเข้าวงการ AV
.
ตอนเรียน ป เอก อาจารย์ที่ปรึกษา
เคยตีพิมพ์ Nature Letter
ก็สงสัยมาตลอดว่า อาจารย์ทำยังไงถึงคิดได้อย่างนี้
ตอนนั้นพอมีช่วงว่าง ถึงขั้นปริ้นเปเปอร์ของ อ ทั้งหมดมาอ่าน
เป็นรีมเลย แต่สุดท้ายก็ยังหาคำตอบไม่ได้อยู่ดี
.
วิธีคิดทางวิทยาศาสตร์มันซับซ้อน
และแตกต่างจากกระบวนอย่างชัดเจนของตัวมันอยู่มาก
ทั้งที่เราวางแผนการทดลองอย่างเป็นเหตุเป็นผล
มีลำดับขั้นที่ชัดเจนราวกับช่วงที่มีแสงส่องทางอย่าง DAY SCIENCE
แต่ลำดับความคิดนั้นกว่าจะตกผลึกได้
กลับเต็มไปด้วยความสับสน ลังเล
หมุนวนอยู่ในหัวตลอดทั้งคืนหรือ NIGHT SCIENCE
.
Night Science ถูกพูดถึงครั้งแรกโดย François Jacob (Noble 1965)
และถูกขุดขึ้นมาอีกครั้งโดย Itai Yanai และเพื่อน
เค้ามี podcast ที่เชิญนักวิจัยดังๆมาคุยเรื่องนี้ด้วยนะ
แต่เรื่องการคิดมันซับซ้อนเกินกว่าจะเรียกว่า How to
.
สิ่งหนึ่งที่พัฒนากระบวนการคิดได้มาก
ก็คือการแก้ปัญหาจริงๆ นั่นก็คือทำวิจัยนั่นแหละ
และที่สำคัญคือทิศทางการวิจัย
ซึ่งเรื่องนี้ scientific lineage สำคัญมาก
(เคยเขียนไว้ในบทความก่อนๆ)
.
การจะคิดได้ดูเหมือนจะซับซ้อน
การได้กระทบไหล่ ฟังผลงาน มีโอกาสถามคำถาม
คือสิ่งที่กระตุกต่อมคิดได้ชั้นเลิศ
เอาทุกอย่างกลับมายำรวมกัน (แบบมีหลักการ)
แล้วใช้จริงกับงานวิจัยตรงหน้า
.
การได้ฟังเรื่องเล่า รู้จักการค้นพบ
ได้เล่ามันออกจากความที่ว่าเราอินจริงๆ
เหมือนที่อาจารย์ปรึกษาชอบทำ 5555
มันคือการสร้างแรงบันดาลใจอย่างนึง
.
มีคำกล่าวว่า
ครูที่ดีสอน
ครูที่ดีขึ้น ยกตัวอย่าง
สุดยอดครู สร้างแรงบันดาลใจ
.
คงจะดีกว่าเมากันในวงการวิทย์คือ
เล่าให้คนนอกวงการฟังแล้วเค้าฟินไปด้วย
ถ้าได้ไปฟังเจ้าของรางวัลโนเบลตัวเป็นๆ
คงจะฟินมาก คงจะเตรียมตัวโดยขุดอ่าน
งานของเค้าจนตาเปียกตาแฉะ
รวมไปถึงบริบทการค้นพบ สิ่งที่ขาด
สิ่งที่การค้นพบนี้าเติมเต็ม
.
และนี่คือที่มาของการสมัครงานประชุมลินเดา
เยอรมันจะเรียกหามั้ยไม่รู้
รู้แต่หัดภาษาเยอรมันมาสักพักละ 5555
ภาพจาก Cancer Genetics: History and Consequences
จัดโดย Cold Spring Harbor Laboratory
.
ตอนอื่นๆ ของการบุกดงวิจัยที่เคยเขียนไว้- ตอนที่ 0: สะเปะสะปะกว่าจะมาถึงเส้นทางวิจัย
- ตอนที่ 1: ค่ายไม่เล็กที่มีแต่ผู้ใหญ่ใจดีปูทางเด็กบ้านนอกสู่เส้นทางวิจัย
- ตอนที่ 2: ตรึงใจเด็ก ม.ปลาย เปิดโลกวิจัยที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์
- ตอนที่ 3: ตะลุยดงวิจัย ทำไมวิจัยมีมะเร็งมีหลายแบบจัง
- ตอนที่ 4: รู้จักมะเร็งแบบเหนือชั้น เหนือพันธุกรรมคืออะไร
- ตอนที่ 5: เมื่อฉันรักวิทยาศาสตร์ อย่างที่ไม่สนมะรงมะเร็งอะไรทั้งนั้น -
From Cell line to Command Line & The most Headachest person 🤣
From Cell Line🧫 to Command Line💻
& The Most Headachest person🤫
Me as…
🧫 Wet lab = Headache
💻 Dry lab = more Headache
🧫🧬💻 Hybrid Wet-Dry = The most Headache
🤯 Anyone else feel like a human ping-pong ball between the wet lab and dry lab? 😅
I made the leap from bench work to bioinformatics hoping to be the ultimate translator... turns out, sometimes I'm just fluent in headache (on both sides! 😂).
Seriously though, open and early communication between our wet lab wizards and dry lab dynamos is KEY! Instead of waiting for the data to land, let's chat before experiments, during analysis, and really understand each other's world. It's a two-way street, folks!
Bridging this gap isn't just about fewer headaches for us hybrids; it's about getting the absolute BEST out of our amazing skills and resources on both sides.
Let's talk more, collaborate better, and make some awesome discoveries together! 🚀
For everyone who transform from wet to dry like me, I would recommend a book from 🎯 Ming "Tommy" Tang “From Cell Line to Command Line” (https://lnkd.in/gE93XdQ5)
=============
As a Computational Biologist, I am just one step beyond you, also still a newbie! Keep in touch!
🌸 Thai language: NO CANCER FB page/Blogger (https://lnkd.in/gQa3apBc or https://lnkd.in/gTqDK8MA)
🧬 English language: The Whispers of Biology (LinkedIn/Blogger) (https://lnkd.in/gRTnrpRz or https://lnkd.in/gRe_VtUF)
Science Research Biotech LifeSciences STEM Bioinformatics ComputationalBiology