- formatting
- images
- links
- math
- code
- blockquotes
- external-services
•
•
•
•
•
•
-
#นศภAndTheWard #นศภAndTheDrugStore ตอน #มาม่าวันแม่ (2/3)
#นศภAndTheWard #นศภAndTheDrugStore ตอน #มาม่าวันแม่
จากประโยคที่ค้างไว้ว่า "ยังไงก็ขายให้ไม่ได้ค่ะพี่ พาแม่ไปโรงพยาบาลดีกว่านะคะ" เรื่องแรกนี้คล้ายกับเรื่องมาม่าดัง ๆ ที่ลูกค้าจะมาซื้อยาให้ได้ และอีกเรื่องก็คือ "#เค้าเป็นเลือดเนื้อของพี่นะ พี่จะทำเค้าได้ลงเหรอ" ที่ทำเอา นศภ. และพี่เภสัชถึงกับอึ้งกันไปทั้งคู่ เรามาดูกันว่าเรื่องราวเป็นยังไงบ้าง
เคสแรก: "ยังไงก็ขายให้ไม่ได้ค่ะ"
เป็นเรื่องของสองนักศึกษาเภสัชหน้าตาจิ้มลิ้ม ที่มีแม่ (อายุประมาณ 70 ปี) และลูก (อายุประมาณ 40 กว่าปี) เข้ามาในร้าน
ลูก: "ซื้อยาเบาหวานให้แม่ค่ะ ยาเป็นแผงเงิน ๆ เม็ดสีขาว"
นศภ.: (หยิบยาแผงฟอยล์สีเงินเม็ดขาวที่มีนับไม่ถ้วนมาให้ดู) "ลักษณะคล้ายอันไหนคะ ปกติคุณป้ากินยังไง รับยาที่ไหนอยู่ ขาดยานานเท่าไหร่คะ"
ลูก: (เริ่มไม่แน่ใจและตอบไม่ถูก) "เอาแผงเงิน ๆ แบบนี้แหละค่ะ เอาไปให้แม่กินก่อน" พร้อมพยายามพูดสารพัดเพื่อให้ขายยาให้ได้ ในขณะที่คุณแม่ก็ช่วยพูดด้วยสีหน้านิ่ง ๆ
นศภ. (น้ำทิพย์) เริ่มหันหน้ามองเพื่อนและคิดในใจว่า "เอาไงต่อดีวะ? ฉันไม่มีทางขายให้แน่ ๆ" แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นรอยคล้าย ตะขาบเกาะบนหน้าอก ของผู้เป็นแม่ จึงได้จังหวะถามเพิ่ม
นศภ. (น้ำทิพย์): "คุณป้ามีโรคประจำตัวอะไรบ้างไหมคะ"
แม่: "เคยผ่าตัดหัวใจ"
นศภ. (น้ำทิพย์): "อ๋อ! เป็นโรคหัวใจเหรอคะ? งั้นคงขายยาให้ไม่ได้นะคะป้า เพราะไม่มีตัวอย่างยาหรือซองยามาเลย ยาเบาหวานมีเยอะมาก ถ้ากินผิดอันตรายมากนะคะ ยิ่งคุณป้าเคยผ่าตัดหัวใจด้วย ถ้ามียาเดิมมาจะยังพอขายให้ได้ค่ะ"
สองแม่ลูกบ่นพึมพำแล้วก็เดินออกจากร้านไป นศภ. (น้ำทิพย์) รู้สึกโล่งใจเหมือนชนะ แต่นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น...
เช้าวันถัดมา สองแม่ลูกกลับมาอีกครั้ง!
ลูก: "พี่เอายามาให้น้องดู" (ลูกสาวยื่นถุงให้พร้อมยาที่เป็นเม็ดสีขาวแค่ครึ่งซีก) "ยาของแม่ที่เคยกิน ซองลิงมันขโมยไปแล้ว เหลือแค่นี้"
นศภ. (น้ำทิพย์): (หยิบยาครึ่งซีกนั้นมาดู) ยาลักษณะกลม แบน มีตัวอักษรเขียนว่า RA นศภ. เลยค้นถุงยาต่อและเจออีกครึ่งหนึ่ง เมื่อนำมาต่อกันก็อ่านได้ว่า PARA
นศภ. (น้ำทิพย์): (ยื่นเม็ดยาให้ลูกค้าดู) "พี่ลองดูนี่สิคะ นี่ต่อกันแล้วได้คำว่า PARA มันคือยาพาราลดไข้นะคะ ไม่ใช่ยาเบาหวาน"
ลูก: "แม่ ๆ (พูดภาษาใต้) นี่มันยาพารา ไม่ใช่ยาเบาหวาน แม่หยิบผิดอีกแล้ว" (ว่าแม่ตัวเอง)
นศภ. (น้ำทิพย์): ได้แต่ยิ้มในใจอย่างสะใจ
ลูก: "งั้นพี่ซื้อยาเบาหวานให้พ่อ เอาแบบที่น้องให้ดูเมื่อวาน"
นศภ. (น้ำทิพย์): (เริ่มสงสัยในเจตนา) "พ่อพี่น้ำหนักเท่าไหร่คะ สูงเท่าไหร่ เป็นเบาหวานมานานยัง"
เมื่อได้ข้อมูล นศภ. ก็ประมวลผลและรู้สึกว่าคำตอบของลูกสาวไม่น่าเชื่อถือ จึงตอบไปว่า "พี่ต้องเอาตัวอย่างยาที่ลุงเคยทานมาให้ดูก่อนนะคะ หนูขายไม่ได้ค่ะ"
ในที่สุดสองแม่ลูกก็บ่นกันเองจนรู้ว่าแท้จริงแล้วคือจะซื้อยาไปให้แม่กินนั่นแหละ นศภ. จึงยืนยันคำเดิมอย่างหนักแน่นว่า "ยังไงก็ขายให้ไม่ได้ค่ะพี่ พาแม่ไปโรงพยาบาลดีกว่านะคะ" และอธิบายเรื่องความอันตรายของยาเบาหวานกับโรคหัวใจให้ฟังจนผู้เป็นแม่ยอมไปโรงพยาบาลในที่สุด
เคสที่สอง: "#เค้าเป็นเลือดเนื้อของพี่นะ"
เคสนี้เป็นเรื่องของการทำแท้ง บ่ายวันหนึ่งมีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาซื้อที่ตรวจครรภ์ และวันรุ่งขึ้นเธอก็กลับมาถามหายาขับเลือด
ลูกค้า: "น้องมียาขับเลือดไหม"
พี่เภสัช: "ไม่มีค่ะพี่" (นศภ. ที่ฝึกงานถึงกับอึ้ง)
ลูกค้า: "เมื่อวานพี่มาซื้อที่ตรวจครรภ์ มันขึ้น 2 ขีด"
พี่เภสัช: "หนูก็บอกพี่หลายครั้งแล้วเรื่องยาคุมฉุกเฉิน..." (หมายความว่าเธอเคยมาปรึกษาเรื่องยาคุมฉุกเฉินแล้ว)
ลูกค้าก็พูดต่อว่าเลี้ยงลูกไม่ได้แล้ว เพราะมี 4 คนแล้ว
พี่เภสัช: "เค้าเป็นเลือดเนื้อของพี่นะ พี่จะทำเค้าได้ลงเหรอ" #พี่กำลังจะเป็นฆาตกรฆ่าคน เลยนะ ถ้าลูกคนนี้เกิดมาเป็นลูกที่เลี้ยงดูพี่ เป็น #ลูกหัวแก้วหัวแหวน ของพี่ล่ะ"
ลูกค้าเดินออกจากร้านไปด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า นศภ. ทั้งคู่ต่างก็ชื่นชมพี่เภสัชในใจว่าสุดยอดมาก เพราะพี่เภสัชสามารถรับมือกับสถานการณ์นี้ได้อย่างดีเยี่ยม
สาระดี ๆ เรื่องการคุมกำเนิด
การคุมกำเนิดมีหลายวิธี ทั้งยาคุมแบบกินทุกวัน ยาฉีด แผ่นแปะคุมกำเนิด และถุงยางอนามัย
ถุงยางอนามัย เป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะนอกจากจะคุมกำเนิดแล้ว ยังป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ด้วย แต่ก็ไม่ได้คุมได้ 100%
ยาคุมฉุกเฉิน ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด แต่เป็นวิธีที่สะดวกที่สุด ประสิทธิภาพต่ำกว่ายาคุมปกติ และอาจส่งผลกระทบต่อระดับฮอร์โมนและรอบเดือนในระยะยาวได้ แต่ถ้าฉุกเฉินจริง ๆ ก็ควรใช้
ไม่ว่าจะใช้วิธีคุมกำเนิดแบบไหนก็ตาม สามารถปรึกษาเภสัชกรที่ร้านยาได้เสมอ เภสัชกรไม่ตัดสินคุณ แต่กลับยินดีที่ได้ให้คำแนะนำมากกว่าการมาปฏิเสธเรื่องยาทำแท้ง
ข้อคิดสุดท้าย: ป้องกันไว้ดีกว่านะคะ คิดถึงอนาคตให้มาก ๆ ไม่ใช่แค่ความสนุกชั่วคราว...เขียนเมื่อ 14 สิงหาคม 2558 -
ดาบพิฆาตมะเร็ง: HERDARA ปราณมุ่งเป้า 🔥
ตัวละคร
- ชื่อ: เคนจิ สลาโมน (Kenji Slamon)
- ตั้งชื่อตาม Dennis Slamon ผู้บุกเบิก Trastuzumab
- “Kenji” = ความแข็งแกร่ง + ญี่ปุ่น
- “Slamon” = เชื่อมกับนักวิทยาศาสตร์จริง
- สมญา: เสาหลักชีวโมเลกุล (Hashira of Biomolecules)
- บทบาท: นักรบที่ใช้ “ปราณมุ่งเป้า” ในการปราบมะเร็งชนิด HER2-positive
==========
ปราณปราบมะเร็ง (HER2 Breathing)
ปราณนี้เลียนแบบ กลไกการรักษาด้วยยามุ่งเป้า (targeted therapy)
สร้างพลังคลื่นพลังงานเล็งเป้าหมายที่ “ตัวรับ HER2” โดยตรง
ทำให้การส่งสัญญาณที่ผิดปกติถูกยับยั้ง → อสูร (เซลล์มะเร็ง) หยุดการเติบโตและแพร่กระจาย
========
อาวุธ
- ดาบโมเลกุล (Molecular Blade): ใบดาบแกะลายโครงสร้างโปรตีน HER2
- โล่แอนติบอดี (Antibody Shield): จำลองมาจาก Trastuzumab/HERDARA ใช้ป้องกันการโจมตี และสะท้อนพลังกลับใส่อสูร
========
กระบวนท่า
1. กระบวนท่าที่หนึ่ง: ฟันเจาะจุดรับสัญญาณ (Receptor Cleave)
→ โจมตีตรงจุด HER2 receptor ทำให้สัญญาณการเจริญเติบโตหยุดชะงัก
2. กระบวนท่าที่สอง: เกราะยับยั้งการแบ่งตัว (Cell Division Seal)
→ ใช้โล่แอนติบอดีสร้างกำแพง ป้องกันการแบ่งเซลล์และแพร่กระจาย
3. กระบวนท่าที่สาม: ดาบพิฆาตการส่งสัญญาณ (Signal Termination Strike)
→ ตัดขาดการส่งสัญญาณ PI3K/AKT และ MAPK pathway ของอสูร
4. กระบวนท่าที่สี่: พลังเสริมภูมิคุ้มกัน (Immune Boost Surge)
→ เรียกการโจมตีจาก “นักรบภูมิคุ้มกัน” (immune cells) เข้าล้อมอสูร เหมือน ADCC ของ Trastuzumab
5. กระบวนท่าที่ห้า: เฮอร์ดาราพิฆาต (HERDARA Final Suppression)
→ ท่าไม้ตาย ใช้พลังทั้งหมดรวมกัน ปิดกั้น HER2 receptors ทุกตำแหน่งจนสิ้นฤทธิ์
============
Lore & เนื้อเรื่อง
- เคนจิ สลาโมน เคยเป็นนักวิจัยที่สูญเสียครอบครัวให้กับ “อสูรมะเร็ง HER2”
- เขาศึกษาและฝึกฝนจนเข้าใจกลไกชีววิทยาของโรค
- แปรเปลี่ยนความรู้ทางการแพทย์ → เป็น “ปราณปราบมะเร็ง”
- กลายเป็นเสาหลักที่ใช้ วิทยาศาสตร์และพลังจิตใจ ปราบอสูรที่เคยคร่าชีวิตผู้คนมากมาย -
#นศภAndTheWard ตอน #มาม่าวันแม่ (1/3)
#นศภAndTheWard ตอน #มาม่าวันแม่
เนื่องในโอกาสวันแม่ ข้า(พเจ้า)จะนำเสนอมุมมองของ นศภ.ที่มีต่อผู้ป่วยซึ่งมียศศักดิ์ในครอบครัวว่า"แม่"...เรื่องดราม่ามีมากมายฮ่ะ เล่าเป็น case ไปแล้วกัน...เรื่อง... แม่ ลูก ผูกพันธ์กับ ถุงลมโป่งพอง(COPD)
Pt ญ อายุประมาณ 60 กว่า รายหนึ่งนอน รพ อาการหอบเหนื่อย เพราะเป็นโป่งพองมานาน 10 ปี ที่ต้องนอน รพ เพราะหายใจหอบเหนื่อด้วยโรคกำเริบ พ่นยา(แบบครอบจมูกอ่ะ nebulizer) ใส่สายให้ออกซิเจนแบบเสียบจมูก(O2 cannular) หายใจหอบเหนี่อยดูประวัติไม่สูบบุหรี่ ไม่มีอะไรที่เสี่ยงเลย แต่....ประวัติอย่างหนึ่งคือ "ลูกชายสูบบุหรี่ในบ้านทุกวันมาเป็นสิบๆปี" #จบข่าว นศภ. ตามชาทแล้วเงิบ ป้าทั้งหอบ ทั้งไอ น่าสงสารเรื่อง....ยาแม่แก่ใครจะดูแล
case หลาย case ใน ward เป็น ญ สูงอายุ(แบบสูงมาก 70 80 กว่า) พอหมอราวน์ถามว่า "ยายยยยยยย.....ใครเอายาให้ยายกิน" (เสียงอาจารย์หมอลอยเข้ามาในหูขณะพิมพ์เลย ฮึ๋ยยย) เงียบ คนเฝ้าไข้ตอบไม่ถูก โยนไปให้ลูกคนโน่นที คนนี้ที ยายบางคนขาดยาเป็นปีๆ บางคนไม่เคยตรวจสุขภาพเลย โรคเงียบเพียบ ทั้งเบาหวาน ความดัน ไขมัน วันนี้มาด้วยสมองขาดเลือด(Stroke) ปากเบี้ยว แขนขาอ่อนแรง บางคนนอนใส่เครื่องช่วยหายใจ (ET tube) สายพะรุงพะรัง บางคนถึงขั้นต้องให้อาหารทางสายยาง(NG tube) ดูมันเจ็บและทรมานมากอ่ะ มันเจ็บจนคนไข้หลายคนพยายามดึงออก T____T ราวน์ที่น้ำตาจิไหล มาม่าเยอะไป ไวไวควิก ไม่มีเลยเจอเรื่องชั่วร้ายมาเยอะ มาดูเรื่องดีดีบ้าง
ลูกที่น่ารักก็มีเยอะ และแม่ที่น่ารักก็มีเยอะ ใน ward มีคนไข้ก็ต้องมีคนดูแล รพ รัฐที่น้อยนัก คนไข้เองก็แทบจะขี่คอกันนอน รพ แต่กระนั้นก็มีคนไข้เฝ้าอยู่ร่ำไป แล้วคนเฝ้านอนที่ไหน...ตามทางเดิน ปูเสื่อ กางมุ้ง บางคนนอนใต้เตียงคนไข้ บางคนฟุบบนเตียง ป้อนข้าว ป้อนยา เช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้า หลายเตียงที่แม่มาเฝ้าลูกทุกวัน ไปward กี่ทีเจอตลอด และเจอบ่อยเหมือนกันที่ลูกมาเฝ้าแม่ ตั้งแต่เด็กอนุบาลตัวน้อยๆแอบไปนั่งบนเตียงกับแม่ ไปจนถึงลูกๆวัยผู้ใหญ่ แม่บางคนอ้อนวอนหมอเพื่อจะขอกลับบ้านพร้อมน้ำตาคลอเบ้าด้วยเหตุผลที่ว่า "ลูกที่มาเฝ้าหนูจะกินอะไรหล่ะหมอ" ข้าพเจ้านึกไม่ออกว่าจะกลับบ้านได้ยังไง อาการไม่ใช่น้อยๆเลย (Problem list มาเป็นทาง) แถม ญ ผอมแห้งคนนี้ยังมาพร้อมกับโรคประจำตัวที่คาดไม่ถึง ป้องกันไม่ได้ เพราะสาเหตุยังไม่รู้เลย...CA brain หรือมะเร็งสมอง แน่นอนว่าเมื่อศูนย์บังคับบัญชารวน ทุกระบบในร่างกายก็พลอยวุ่นไปด้วย....เรื่อง #มาม่าวันแม่ ในโรงพยาบาล คงจบแค่นั้น ...ราวน์ไปน้ำตาจะไหลทั้งซึ้ง ทั้งสงสาร...เรื่องมาม่าเกี่ยวกับแม่ในร้านยาก็มีอยู่เหมือนกัน ประโยคเด็ด หึหึ "ยังไงก็ขายให้ไม่ได้ค่ะ พี่พาแม่ไป รพ ดีกว่านะคะ" "เค้าเป็นเลือดเนื้อของพี่นะ พี่จะทำเค้าได้ลงเหรอ" เงิบซะทั้ง นศภ. ทั้งพี่เภสัชแหล่งฝึกมามีสาระสักนิด ...เมื่อไหร่ที่ควรตรวจสุขภาพ...
โดยส่วนตัวคิดว่าถ้าอายุ 40 ปี ขึ้นไปก็ควรไปตรวจได้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคพวกนี้ภัยเงียบพาลจะล้มหมอนนอนเสื่อ เอาได้ง่ายสำคัญเพศ ญ โรคที่ยอดฮิตคือ มะเร็งเต้านม อันนี้ตรวจเองได้ อีกโรคคือมะเร็งปากมดลูก ควรตรวจตั้งแต่อายุ 35 ปี นะจ๊ะ...ข้อมูลการตรวจและคัดกรองความเสี่ยงลองหาใน Internet โดยใช้คำค้นว่า "คัดกรอง เบาหวาน" "คัดกรอง ความดันโลหิตสูง"#จบข่าว ก็ข้าอยู่ ward สตรีนี่นา กิกิติดตามงานเขียนเมาๆ โดย นศภ.รั่วๆ ได้ตาม hashtag #นศภAndTheWardเขียนเมื่อ 13 สิงหาคม 2015 -
ช่วงรอยต่อก่อนจะเรียนต่อปริญญาเอก📚
ช่วงรอยต่อก่อนจะเรียนต่อปริญญาเอก📚
ระยะเวลา 1 ปีกว่าๆ ที่ตัดสินใจจะทำงานก่อนเรียนต่อ ทั้งเพื่อรอทุนเรียน และจัดการเรื่องที่บ้านให้ลงตัว- ตัวเอง ทุนเรียนค่อนข้างเรียบร้อย การสอบเข้าผ่านไปด้วยดี มีเงินเก็บสำรองแม้จะไม่มากเพราะนอกจากเรียนก็ต้องมีส่วนที่ใช้ในครอบครัว ถ้าไม่ทำงานก่อนคงจอดไม่ต้องแจว เพราะค่าใช้จ่ายในการเดินการ สอบ ฯลฯ ก็เยอะอยู่
- ได้ลองหาอาชีพเสริมเผื่อไว้ทำตอนเรียน ลองขายของใน ebay ig และก็ศึกษาเรื่องผู้แนะนำการลงทุน คงจะดีถ้าดูแลเงินอันน้อยนิดของตัวเองได้มีประโยชน์สูงสุด และคงดีด้วยถ้าแนะนำเพื่อนในก๊วนได้ด้วย ใครจะใช้บริการก็บอกได้ค้าบ ช่วงทำงานพยามไม่ใช้ชีวิตหวือหวา ไม่กล้ากินอะไรแพงๆ ใช้อะไรเว่อร์ๆ จะซื้อบ้างก็ของที่อยากได้มานานชิ้นสองชิ้น กลัวชีวิตติดหรูเดี๋ยวจะลำบากตอนเรียน 5555+ ความป่วยเยอะอยู่เพราะติดหวัดบ่อยมากจากร้านยา แต่มันก็ทำให้เรารู้จักจัดการกับความคาดหวัง บางทีมากไปก็ไม่ดี น้อยไปก็ไม่ได้แล้วแต่ช่วงจริงๆ ถ้าป่วยก็ต้องพักจะซ่าก็ไม่ควร แฮร่ๆ><
- น้องสาว ตั้งใจจะอยู่เป็นเพื่อนนางในช่วงวิกฤตสอบเข้ามหาลัย ให้นางได้เห็นหน้าตอนตกมัน ช่วยตัดสินใจในบางเรื่อง เตรียมของ เตรียมตัวเข้าเรียน นางก็ได้คณะแพทย์สมใจอยาก และแอบป้ายยานางมาวิ่ง หวังจะเป็นสิ่งคลายเครียด(stress management) ของนางตอนเรียน
- น้องชาย นางเป็นเด็กพิเศษ ก็พยายามพาไปหาหมอ ทำกายภาพ ดีใจที่ปั่นจักรยานแบบล็อคเท้าได้ผล แถมน้องชอบด้วย พยายามพาออกที่สาธารณะมากขึ้น ทั้งห้าง สวนสาธารณะมันก็ได้บ้างล่มบ้าง แต่ที่ชอบและบ่นถึงเสมอคือวัดที่เชียงใหม่ เราลุ้นกันทั้งบ้านว่าการขึ้นเครื่องจะมีปัญหามั้ยปรากฏว่าทำตาหวานใส่แอร์ตลอด 5555+ ผ่านฉลุย ไว้จะเก็บตังค์ให้ไปเที่ยวอีกนะ
- ป๊า พยายามเรื่องสุขภาพกันมาตลอด จักรยานที่ทำราวตากผ้ามา 3-4 ปี กับน้ำสะสมที่พุ่งตลอด วันนึงถึงกับเตี๊ยมกับหมอ แล้วป๊าก็ยอมเปลี่ยนพฤติกรรม ดีใจมากเว่อร์ น้ำตาลสะสมก็ลด แถมคึกทั้งวิ่งทั้งปั่น(แบบค่อยเป็นค่อยไป)่
- หม่าม๊า ได้เงินเดือนแรกก็ซื้อของที่ม๊าอยากได้ที่สุด(คืออะไรไปถามเอาเอง 555+ ใบ้ว่าใช้ทุกวันและคงกระพันแสนนาน) จัดการตรวจสุขภาพที่เสี่ยงทุกชนิดทั้ง pap smear, ส่องกล้องลำไส้ใหญ่ จักรยานพร้อมหมวกเตรียมไว้ให้ และที่สำคัญคือหนี้สิน อะไรที่ดอกเบี้ยสูงๆก็กู้ใหม่มาปิดให้ เอาจริงไม่อายเลยที่มาเล่าเรื่องแบบนี้ ไม่ใช่ทุกครอบครัวจะพร้อมตั้งแต่ต้น ค่าใช้จ่ายที่แต่จะคนจะโตจนจบมาทำงานก็ไม่นิดๆ ถ้าวัยเรียนคนไหนผ่านมาอ่าน ตั้งใจเรียนและประหยัดไว้นะคะ บางทีพ่อแม่อาจจะไม่เคยคุยเรื่องหนี้สินเพื่อให้เราสบายใจ
- ก๋ง อาม่า ได้รับปริญญาสมใจแล้วนะ 5555+ ทิพย์กำลังพยายามในสิ่งที่ก๋ง อาม่าอยากได้มากที่สุดในรอบปีสองปีนี้ จะสำเร็จหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ได้พยายามเต็มที่และจะทำต่อไปฮ่ะ ^^
--- ดูเป็น 1 ปีกว่าที่คุ้มค่านะ ---กลับเข้าสู่โหมดนักเรียน พร้อมๆกับโหมดประหยัดตังค์ ><่เขียนเมื่อ 13 สิงหาคม 2018 -
☎️แนะนำการติดต่ออาจารย์ งานวิชาการชั้นปีและการทำหน้าที่ ☎️
แนะนำการติดต่ออาจารย์ งานวิชาการชั้นปีและการทำหน้าที่
***การติดต่ออาจารย์ (ตามแนวทางตัวเองนะ)
...ที่จริงแล้วเรื่องนี้แล้วแต่อาจารย์แต่ละท่าน ว่าจะสไตล์ไหน หรือ strict ในการติดต่อแค่ไหน วิธีที่จะเขียนต่อไปนี้โดยส่วนตัวคิดว่าเป็นวิธีที่จะ safe ตัวผู้ที่ติดต่อเองมากที่สุด...- นัดอาจารย์ล่วงหน้าก่อนจะไปพบ วิธีการนัดที่แนะนำได้แก่ นัดกับอาจารย์เอง, นัดโดยโทรนัดผ่านโทรศัพท์ภายใน(คือโทรศัพท์ที่ทำงานอ่ะไม่ใช่โทรศัพท์มือถือ), นัดผ่าน e-mail
- การติดต่ออาจารย์ผ่านเบอร์โทรศัพท์มือถือ ควรจะได้เบอร์มือถือมาโดยขอจากอาจารย์เอง หรือถ้าขอจากคนอื่นควรแน่ใจก่อนว่าอาจารย์ยินดีจะให้ติดต่อโดยช่องทางนี้
- ควรติดต่ออาจารย์ในเวลาราชการ ไม่ว่าจะโทรหรือไปพบ โดยเวลาว่างของอาจารย์แต่ละท่านมักจะมีในเว็บไซต์ของมหาลัย- ถ้า ม.วลัยลักษณ์ ก็ link นี้ : http://202.28.69.99/registrar/teach_time.asp?avs145450732=1
- การโทรติดต่ออาจารย์ ควรจะบอกชื่อ นศ.ที่ติดต่อ และเรื่องที่จะติดต่อก่อน เช่น
“สวัสดีค่ะอาจารย์....ไหมคะ ไม่ทราบอาจารย์สะดวกคุยไหมคะ หนู นศภ.งามฟรุ้งฟริ้ง กุ๊งกิ๊งสุดสุด นศภ.ชั้นที่ 4 ขอต่อติดอาจารย์เรื่อง............” - วิธีที่อาจารย์หลายท่านสะดวกที่สุดอาจจะเป็น e-mail เช่นอาจารย์ที่ยุ่งมากๆ อาจารย์ผู้ใหญ่ อาจารย์ในสถาบันวิจัย อาจารย์ที่ต้องติดต่อด้วยความสุภาพอย่างสูง การหา mail อาจารย์ก็หาได้จากเว็บมหาลัย- สำหรับ ม.วลัยลักษณ์ link นี้ http://202.28.68.27/wpd/source/person1.php
- การติดต่อทาง e-mail ก็คล้ายๆกันโทรศัพท์ แต่อาจจะมีรูปแบบนิดนึงเพื่อการอ่านงานและเป็นทางการหน่อย เช่นมี เรียน อาจารย์..... ,เรื่องที่ติดต่อ, คำลงท้าย อาจจะมี signature ของผู้ส่งที่มีเบอร์โทรติดต่อกลับไว้ด้วย ถ้าจะให้เจ๋งหน่อย signature เป็นภาษาอังกฤษก็จะดี เผื่อติดต่อต่างประเทศ 555
- เนื้อหาการเขียน mail ก็แล้วแต่วาทะศิลป์แต่ละคน ประมาณนั้น อันนี้เดี๋ยวจะแนบรูปให้ดูอีกครั้งหนึ่ง
- แต่การติดต่อผ่าน e-mail มหาลัยบางทีก็กลัวส่งไปไม่ถึง(เคยเจอมาแล้ว) โดยทั่วไปอาจจะรู้ได้จากการที่ไม่มี e-mail เด้งกลับมา(บางที mail มหาลัยก็แปลกๆ ไม่มีเด้งกลับแต่ก็ส่งไม่ถึง) เพราะงั้นเห็นว่าติดต่อไปนานแล้ว หรือเจอตัวอาจารย์ก็ถามซะหน่อยว่า “อาจารย์ได้รับ e-mail หนูแล้วยังคะ” อย่างไรก็ตามควรเผื่อเวลาสำหรับติดต่อทางช่องทางนี้ไว้ด้วย
☎️ งานวิชาการชั้นปี
- ตำแหน่งวิชาการชั้นปี คือ นศ.ที่เป็นตัวแทน นศ.ในชั้นปีเพื่อติดต่อประสานงานระหว่างนักศึกษากับอาจารย์ เพื่อประโยชน์ในของรายวิชาต่างๆ
- หน้าที่โดยทั่วไป
- ติดต่อเมื่อเวลาเรียนหรือเวลาสอบมีปัญหา เช่น ขอเลื่อนสอบเมื่อตารางสอบชนกันอย่างจัง ซึ่งดูแล้วไม่น่าอ่านหนังสือทันแน่ๆ
- เป็นปฏิทินชั้นปีจำเป็น ควรมีปฏิทินที่ update การเลื่อนเรียนติดตัวอยู่เสมอ ถ้าอาจารย์ เพื่อน หรือ พี่ TA ถามต้องตอบได้
- ดูแลอาจารย์พิเศษ ตั้งแต่รับอาจารย์ ขอบคุณอาจารย์ ไปจนกระทั่งรอส่งอาจารย์กลับ
- จัดหาหน้าม้าตั้งคำถามในคาบเรียนของอาจารย์พิเศษ หรือถ้าหาไม่ได้ก็ต้องเป็นหน้าม้าเอง แฮะๆ
- ดูเรื่องลงทะเบียนเรียน อาจจะตามจิกบ้างกรณีวันสุดท้ายแล้วนางยังไม่ลง อันนี้จะมีวิธีเช็คได้โดยเปิด ces กดค้นหารายวิชา แล้วก็ดูว่าลงครบจำนวนคนมั้ย (มันมีคนลืมทุกเทอมเหอะ)
- ดูประกาศเรื่องประเมินอาจารย์ ถ้าไม่ประเมินปัญหาเรื่องการดูเกรดจะตามมา (แต่ก็มีคนลืมทุกเทอมเช่นกัน แฮะๆ)
- นอกนั้นก็ช่วยเพื่อนที่ต้องการความช่วยเหลือในการติดต่ออาจารย์เป็นกรณีไป
3. คุณสมบัติ- พูดกับเพื่อนและอาจารย์รู้เรื่อง มีวาทะศิลป์ และศิลปะในการอ้อนวอนจะดีมาก 55555
- สิงสถิตอยู่ที่คณะได้บ่อย และบางครั้งเป็นเวลานาน
☎️ การดูแลอาจารย์พิเศษ- รับอาจารย์ : อันนี้ควรรู้ก่อนว่าอาจารย์เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย หารูปอาจารย์ในเน็ตสักนิดนึง คือบางทีอาจารย์พิเศษก็ลงจากรถมหาลัยกันทั้งนั้นเดี๋ยวจะไปรับอาจารย์ผิดท่าน (อันนี้เกือบจะเกิดขึ้นจริง 5555)
- ระหว่างพักเช่นพักเที่ยง ก็ดูแลและรอจนกว่าจะมีอาจารย์จากคณะมารับอาจารย์ไปทานข้าว
- หาหน้าม้ามาตั้งคำถาม
- ขอบคุณอาจารย์พิเศษ หรืออาจจะหาเพื่อนที่แลดูดีในชั้นปีแล้วทาบทามนางมาพูดขอบคุณให้แทน
- รอส่งอาจารย์ ช่วยถือของไรงี้
...ทั้งหมดที่เขียนมาคือตามแนวทางที่ตัวเองเคยทำมาเท่านั้น มันจะอาจจะผิด, ไม่เหมาะสม หรือไม่ถูกสไตล์ของอาจารย์บางท่านก็เป็นได้...นศภ.กฤชติยาภรณ์ คงธนะวานิชเภสัชศาสตร์รุ่นที่ ๕ ม.วลัยลักษณ์เขียนเมื่อ 17 ธันวาคม 2014











