- formatting
- images
- links
- math
- code
- blockquotes
- external-services
•
•
•
•
•
•
-
Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 0
Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 0
จากโพสก่อนที่เล่าถึงเส้นทางการวิจัยมะเร็ง
ที่เริ่มเรื่องมาตั้งแต่ ม.5 - ป.เอก
ตอนที่ 0 นี้คือเรื่องความสะเปะสะปะ
กว่าจะมาถึงเส้นทางวิจัยและวิทยาศาสตร์
.
เรื่องมันเริ่มมาจากโจทย์แค่ว่า
ทำไมยายถึงต้องตายเพราะมะเร็ง
ทำไมหมอช่วยยายไม่ได้
ถ้ามีทางดีดีที่ยายไม่ตาย
เราก็คงไม่ต้องมานั่งร้องอยู่อย่างนี้
นั่นหล่ะความคิดเด็ก ม.2
.
ตอนนั้นก็กวาดทุกอย่างที่ขวางหน้า
หรือต้องเป็นหมอศัลย์นะ?
หรือว่าต้องโภชนาการต้านมะเร็ง?
หรือว่าต้องแบบหมอสมหมาย ทองประเสริฐ?
สิงซีเอ็ดบุ๊คสุดๆ อ่านฟรีบ้าง ซื้อบ้าง
(มัน 18 ปีก่อน เน็ตยังไม่แพร่หลาย 555)
.
พ่อกับแม่ก็พยายามสนับสนุนนะ
คือเค้าจะเป็นสายแบบเป็นแบ็ค
จะไม่ชี้นำ แต่ถ้าดีดจะไปทางไหน
จะช่วยดัน มันหรือถีบนะไม่แน่ใจ
.
ช่วง ม.2 แม่ก็พาไปเจอรุ่นพี่ที่ทำงานเก่าของแม่
คุณลุง ดร.วิรัตน์ คำศรีจันทร์
ที่มาบรรยายเกี่ยวกับงานวิจัยอะไรสักอย่าง
จำได้เลยว่าใส่ชุดยุวกาชาด
ไปนั่งฟังบรรยายซึ่งก็น่าจะไม่ค่อยรู้เรื่องด้วย
แล้วก็ไปทานข้าวต่อกับวิทยากร
ตอนนี้จำอะไรไม่ได้เลยว่าคุยอะไร
จำได้อย่างเดียวคือ
งานวิจัยนี่ดูเป็นอะไรที่เป็นเหตุเป็นผลแฮะ
.
ช่วงนั้นก็ดูข่าวพระราชสำนัก
ของเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
คือต้องลุ้นว่าวันนั้นจะมีข่าวของท่านรึป่าว
ถ้ามีบางที่ทำนู้นนี่อยู่ ก๋ง อาม่า
จะรีบตะโกนเรียกให้มาดู
เราก็จะมานั่งจ้องหน้าทีวีพร้อมสมุดจดเล่มนึง
ถ้าวันนี้ที่กำลังเรียน ป เอก อยู่
ได้ย้อนกลับไปอ่านคงฮา นี่จดอะไรไว้!!!
.
ในวันเด็กๆแบบนั้น ภาษาง่ายๆ
อย่างที่ถ่ายทอดในข่าวพระราชสำนักดีมากๆเลยนะ
บางทีบางจุดเวลาเรา
ไม่ได้ต้องการเข้าในเนื่อหาลึกซึ้งหรอก
เราแค่ต้องการแรงบันดาลใจหน่ะ
นาทีนั้นวิทยาศาสตร์ดูเป็นสิ่งที่ก้าวหน้าและเต็มไปด้วยความหวัง
.
ตัดภาพมาที่อีกจุดสำคัญตอน ม.4
แม่คงเห็นว่ามันยังไม่หยุดบ้า
ก็เลยส่งไปเพื่อนสนิทแม่ที่ทำงานหน่วยมะเร็งของ รพ.มอ.
ก็เอาเลยฉายเดี่ยวไป รพ มอ
ไปถามทางงมๆดมๆให้ถึงหน่วยเค้า
ที่บ้านก็จะทรงถีบแบบนี้ ที่ใครไม่สบายพาไปวนได้รอบ รพ ทีแบบนี้เตะให้ไปคนเดียวส่งแค่หน้า รพ เหมือนพ่อแม่เตี๊ยมกันมา =..= แล้วแม่ไม่อยากพบเพื่อนเอ่อะ งงไต
.
อิฉันก็ไปเจอน้าเค้า ถามนู้นนี่
จำได้ว่าคำถามมันก็ออกมาทางแนวๆชอบวิจัยแล้วแหละ
เริ่มสนใจว่ามะเร็งถ่ายทอดทางพันธุกรรม บลาๆ
แต่โดนถามกลับว่าลองเริ่มต้นจากการดูแลสุขภาพ อาหารการกินให้ห่างไกลมะเร็งดูมั้ย
หลังจากนั้นก็กลับมาต้มผักอยู่พักนึง
มีนั่งรถตู้ไปเข้าฟังบรรยายพวกโภชนาการต้านมะเร็งที่หาดใหญ่ด้วย
เด็กสุดในงานประชุม+หน้าตาคงมึน มีพี่ใจดีพามาส่งคิวรถตู้กลับนครฯ 5555
.
กลับมาก็ตอบตัวเองได้ว่า
น้องไม่ชอบบบบบบบ
น้องไม่อินนนนการต้มผัก
.
หลังจากนั้นก็เลยตามหา
อะไรที่เป็นเหตุเป็นผล
อะไรที่มีคำอธิบาย
อะไรที่มีการพิสูจน์
อะไรมีความหวัง มีความก้าวหน้า
เหลือคำตอบเดียวหล่ะ
วิจัย!
.
จุดเริ่มต้นของวิจัยที่น่าหลงใหล
เริ่มมาจากนั่งคุยกับคุณลุง ดร.วิรัตน์
ในห้องอาหาร ที่ทำงานเก่าของแม่
.
ตอนนั้นถึงจะเริ่มรู้ตัวว่าชอบงานวิจัย
แต่มันคือเวิ้งใหม่ที่ใหญ่มากกกกก
งานวิจัยกว้างมากกกก
แต่อยากเป็นหมอด้วยอยู่นะ
จะมีมั้ยนะหมอที่เป็นนักวิจัยด้วยนี่
.
ผ่านมา 18 ปี กำลังจะสอบจบ ป.เอก
ก็มาใช้ที่ทำงานเก่าของแม่เป็นสถานที่สอบ
รู้สึกอุ่นใจที่จุดจบวนกลับมาที่จุดเริ่มต้น
แถมอาจารย์ที่ปรึกษาจะบินมาสอบให้เองด้วย
ตอนอื่นๆ ของการบุกดงวิจัยที่เคยเขียนไว้- ตอนที่ 0: สะเปะสะปะกว่าจะมาถึงเส้นทางวิจัย
- ตอนที่ 1: ค่ายไม่เล็กที่มีแต่ผู้ใหญ่ใจดีปูทางเด็กบ้านนอกสู่เส้นทางวิจัย
- ตอนที่ 2: ตรึงใจเด็ก ม.ปลาย เปิดโลกวิจัยที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์
- ตอนที่ 3: ตะลุยดงวิจัย ทำไมวิจัยมีมะเร็งมีหลายแบบจัง
- ตอนที่ 4: รู้จักมะเร็งแบบเหนือชั้น เหนือพันธุกรรมคืออะไร
- ตอนที่ 5: เมื่อฉันรักวิทยาศาสตร์ อย่างที่ไม่สนมะรงมะเร็งอะไรทั้งนั้น -
หอบหืดแบบโหดๆ ก็จบปริญญาเอกได้นะ ตอนที่ 1: แรงใจ
หอบหืดแบบโหดๆ ก็จบปริญญาเอกได้นะ
ตอนที่ 1: แรงใจแปลงร่างจาก dog หมา เป็น ดร. แล้ว~~~กรุณาเรียกฉันว่าดร. มิสหอบหืด (Dr. Miss Asthma).มิสว่ามันค่อนข้างเกินความคาดหมายการจบ ป เอก ในครั้งนี้.เรียกว่า ถ้าป่วยขนาดนี้เรียนไม่จบ ก็คงไม่มีใครว่าอะไรยกเว้นทุนการศึกษา 555555.วันนี้มิสอยากจะแชร์เรื่องที่มิสคิดว่าสำหรับที่สุดในการเอาตัวรอดผ่านช่วงเวลาที่หอบโหดๆงานวิจัยก็ต้องทำ เล่มวิทยานิพนธ์ก็ต้องเขียน.อันดับ 1 เลย มิสว่า….มันคือ แรงใจ.ที่เค้าว่าใจเป็นนาย กายเป็นบ่าวคือเรื่องจริงมิสมองว่าเราไม่สามารถควบคุมทุกอย่างในชีวิตได้แล้วเราจะมาปวดหัวกับเรื่องที่คุมไม่ได้ไปเพื่ออะไร.มิสปล่อยให้เรื่องการรักษาเป็นหน้าที่ของหมอเลยนะไม่ต้องคิดแทนหมอ แค่ว่าหมอสั่งอะไรก็ทำหมอให้กินปลากิน ตากแดดบ่อยๆ ก็ตากเดินไหวก็เดิน เดินไม่ไหวก็นอนนนนน.เรื่องคนนู้นคนนี้ไม่เข้าใจมิสก็เจอ มิสว่าคนเป็นหอบหืดทุกคนเจอหอบหืดเป็นโรคไม่มีแผลและโรคไม่มีแผลคือโรคที่เจ็บปวดปวดจากตัวโรคแล้ว ยังปวดใจจากคนที่ไม่เข้าใจอีกมิสว่าการอธิบายเรื่องสำคัญบอกเค้าไปตรงๆว่าเราเป็นยังไง เหนื่อยหรืออึดอัดไม่ต้องคาดหวังหรอกว่าเค้าจะเข้าใจแค่ได้สื่อสารไปดีกว่าเราอึดอัดและทนไว้.มิสโชคดีมากที่ แม่เป็นพยาบาลน้องเป็นหมอ เค้าก็จะพอเข้าใจง่ายหน่อยแต่ไม่มีอะไร 100% นะทุกคน.ส่วนสุดท้ายคือเรื่องเรียนต้องบอกเลยว่าปริญญาเอกไม่ใช่เรื่องง่ายๆคนที่เข้ามาเรียนไม่ใช่ทุกคนจะจบที่มิสเห็นแทบจะครึ่งๆที่ลาออกไปกลางคันมิสโชคดีที่ชอบทำวิจัยมากกกกคือมิสสนุกกับมัน ถ้าผลวิจัยไม่ได้ดั่งใจ มิสก็ไม่โทษตัวเองงานวิจัยที่มิสทำคือต้องวุ่นกับการเลี้ยงเซลล์มะเร็งนั่นแปลว่ามิสต้องทำแลป ช่วงที่มิสสุขภาพดี มิสทำแลปตุนไว้เยอะมาก.ถึงช่วงที่หอบหืดแย่มากจนนอน รพ ไป 16 ครั้งICU (MRCU) ล้วนๆ ใส่ท่อช่วยหายใจไป 7 ครั้งทั้งหมดเกิดขึ้นใน 3 ปี.3 ปีนี้เป็นช่วงที่มิสต้องกลับมาพักที่บ้านต่างจังหวัดกอบโกยงานวิจัยทั้งหมดเป็นงานเขียนเพื่อใช้จบ ป เอกช่วงแรกมันยากมากเลย มิสร้องไห้ทุกวัน เป็นแบบนั้นอยู่เป็นเดือนๆจนสุดท้ายทำใจได้.ช่วงนั้นเป็นช่วงชีวิตที่มิสเหลือที่ยึดเหนี่ยวอยู่ไม่กี่อย่างเป็นคนที่มิสคิดว่ายังเชื่อว่ามิสทำได้นั่นคือ ครอบครัว อาจารย์ที่ปรึกษา หมอเจ้าของไข้และเจ้าของทุนการศึกษา.มิสได้รับทุนหลวงมาและเวลาทุกนาทีมิสต้องทำงาน ตั้งใจเรียนให้คุ้มที่ทุนช่วยเหลือมิสไม่งั้นมิสจะรู้สึกผิด.ครอบครัวเป็นส่วนที่สำคัญมากตัั้งแต่เฝ้าไข้ หิ้วไปห้องน้ำตอนเดินไม่ไหวและอีกมากมายนับไม่หมด.อาจารย์หมอ ช่วยมิสทุกทางเพื่อให้ได้การรักษาดีที่สุด เร็วที่สุด.สุดท้ายคืออาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์สิ่งเป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตการเรียน ป เอกและชีวิตหลังจากนี้เลยนะมิสโชคดีที่ได้เรียนกับอาจารย์ที่ดี สอนมิสทั้งเรียนเรื่อง เรื่องใช้ชีวิตและสนับสนุนมิสในทุกด้านที่มิสสนใจ.ตอนนี้มิสสอบจบมาแล้ว ก็ยังโดนอาจารย์ด่าเรื่องบ้างานและต้องพักผ่อนอยู่ 5555 จะบ้าตายยยย อยากทำนู้น ทำนี่กองพะเนิน.มิสเป็นกำลังใจให้แม่ๆที่มีลูกเป็นหอบหืดทุกคนนะคะ รวมถึงน้องๆวัยเรียนและทุกคนที่อยู่ในวัยทำงานด้วย
.มิสทำเพจเล่าเรื่องเกี่ยวกับงานวิจัยมะเร็งแบบสนุกๆ เข้าใจง่ายๆไว้ด้วยอันนีเลยเพจ NO CANCER : เพราะวิจัยมะเร็งนั้นลึกซึ้ง ของมิส. -
สุราษฎร์ เกี่ยวอะไรกับงานวิจัยมะเร็ง
สุราษฎร์ object เกี่ยวอิหยังกับงานวิจัยมะเร็งหรือเพราะหอยใหญ่ ไข่แดง แหล่งธรรมะ
คือที่จริงฝรั่งเค้าออกเสียงว่า "ซูรัด (Seurat)"แต่คือนักวิจัยสาวชาวนครศรีธรรมราชอย่างเราก็หิวไข่ดาวเค็ม 5555555.งานวิจัยมะเร็งเนี่ยมันมีการวิเคราะห์กันระดับเซลล์เดี่ยวๆ (Single cell) เลยแล้วเครื่องมือที่วิเคราะห์มันชื่อ สุราษฎร์ (Seurat)ปกติเนี่ยชื่อเครื่องมือมันจะมีที่มาไอเราก็สงสัยว่าคนคิดเกิดที่สุราษฎร์ ชอบกินไข่เค็มไชยาเคยมาสวนโมกข์หรือยังไงนะ.คนคิดค้นเค้าก็ไม่ได้บอกชัดเจนแต่มีจุดเชื่อมโยงที่น่าสนใจอย่างนึงถ้าค้นคำว่า Seurat ในกูเกิ้ลนี่อย่างแรกที่เจอคือ ภาพสีๆที่ทำมาจากจุดๆ.นั่นคือผลงานศิลปะชาวฝรั่งเศสของ Georges Seurat (อ่านว่า เซอรา).ก็เลยไปเปิดเว็บไซด์ของแลปวิจัยที่พัฒนาเครื่องมือ Seurat ดูไปเจอรูปเมืองกลางคืนที่ภาพแตกๆเป็นจุดๆกลมๆซึ่งภาพนี้แอดเคยแอบบ่นในใจว่าทำไมแลปดังๆเอารูปแตกๆมาขึ้นเว็บนะแต่ก็ยังแอบสะกิดใจว่า ภาพไม่ชัดแต่ดันไม่ชัดแบบเป็นวงกลม น่าจะแตกเป็นสี่เหลี่ยมดิ.ซึ่งมันจริงงงงงงงงงงแรงบันดาลของชื่อเครื่องมือวิเคราะห์นี้จะต้องมาจากผลงานศิลปะของ Georges Seurat แน่ๆ.คือที่เราต้องสนใจเซลล์เดี่ยวขนาดนี้เนี่ยเพราะว่ามีเรื่องของความแตกต่างของแต่ละเซลล์ในมะเร็งก้อนเดียวกันหรือ Tumor Heterogeneityภาพเซลล์แต่ละเซลล์เนี่ยมันจะโดนนำเสนอด้วยจุด เห็นจุดคนละสีในกราฟมั้ยนั่นเลยยยย แต่ละกลุ่มคือคนละพวก.นึกภาพง่ายๆเลยนะ เราให้เคโมก้อนยุบ เฮ้ยแบบนี้มันต้องตายเกลี้ยงแน่ๆวันดีคืนร้ายอยู่ๆนังมะเร็งมันโผล่กลับมาแล้วมันมาจากไหนแว๊~~~~~~มันมาจากนังเซลล์ที่ไม่ตายตอนแรกแล้วออกลูกออกหลานนี่เราเลยต้องศึกษาระดับเซลล์เดี่ยวเพื่อเข้าใจมันให้หมดจะได้หาวิธีจัดการมันต่อไป จะได้ตายเกลี้ยงๆไม่ต้องโผล่กลับมาอีกต่อปายยยยยยยยยยยย -
Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 6
Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 6
ตอนนี้ที่รอคอยยยย
ว่าด้วยเรื่องราวตอนเรียนปริญญาเอก
Scientific Lineage และ Mentor
.
จากเรื่องราวตอนก่อนๆ ตั้งแต่ ม.ต้น
จนปี 6 ป ตรี เภสัช ที่ชีวิตว้าวุ่น
กับการหาแลปเรียนต่อมากกว่าสอบใบประกอบวิชาชีพ
.
การเรียนต่อคือการเบี่ยงเข็มไปในทางที่ยิ่งแคบ
ยิ่งเฉพาะทาง และแน่นอนเส้นทางอาชีพที่แคบลงไปอีก
นี่ทำให้คิดหนักมากว่าเรียนอะไร
ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ชอบวิจัยแบบไหนของมะเร็ง
เพราะวิจัยมะเร็งนั้นกว้างมากกกกกกกกก
.
ถึงตรงนี้ขอบคุณอาจารย์ทุกท่านๆที่ให้โอกาสได้ค้นหาตัวเองว่าชอบวิจัยมะเร็งแบบไหนนะคะ
.
ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง เลยตัดสินใจเรียนปริญญาเอก สาขาเภสัชวิทยา ที่ศิริราช (มันคือ โทควบเอก ถ้าจบ ป ตรีด้วยเกียรตินิยม จะสมัครเรียนแบบนี้ได้เลยไม่ต้องผ่านโท) ซึ่งการเข้าเรียนแบบนี้ก็ถูกนับเป็นนักเรียน ป เอก แต่วิชาเรียนเยอะกว่า
.
การเรียน ป เอก นั้น จุดสำคัญคือทำวิจัยล้วนๆ แทบไม่มีอะไรผสม
เอาหล่ะวะ สมใจอยาก 55555
อยากร่ำไปด้วยทำแลปไปด้วย สภาพพพพ
.
คือวิจัยนี่ไม่ได้เหมือนแลปที่เราทำตอนเรียนมัธยม
ที่ใสๆกุ๊งกิ๊ง เพราะเป็นการทดสอบกฏหรือทฤษฎี
ที่คนทั้งโลกทำมาเป็นล้านครั้งก็ได้ผลเหมือนเดิม
หรือโปรเจคจบตอน ป ตรี ที่ใสๆ ฟรุ้งฟริ้งกระดิ่งแมว
.
วิจัย ป เอก มันคือการสร้างองค์ความรู้ใหม่
และก็เพราะความใหม่นี่แหละ ก็เกี่ยวข้องกับว่า
แล้วช้านนนจะเจอมันมั้ย แล้วทำไงจะเจอ
.
เพราะงี้นี่เองอาจารย์ที่ปรึกษาจึงเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุด
แต่อย่าได้คาดหวังว่าจะเกาะอาจารย์เหมือนปลิงเกาะหน้าแข้ง 555
เข้าไปเรียนแรกๆ อาจารย์บอกเลย
“ผมเป็นสไตล์แบบถีบลงน้ำ ถ้าคุณว่ายใกล้จะเข้าฝั่งได้ ผมก็จะถีบคุณไปอีก”
.
หลังจากนั้นสภาพฉันก็~~~
เหมือนช้างที่ตกน้ำ จมลงไปทั้งตัว ตาลีตาเหลือก โดยมีเพียงปลายงวงเท่านั้นที่โผล่มาสูดอากาศ คาบอ้อย อร๊ายยยย เกือบตายยย แต่พองานวิจัยทำท่าจะไปผิดทางออกทะเล อาจารย์ก็แอบโยนอ้อยแหละ 5555
.
ถึงแม้การเรียน ป เอก จะเป็นไปอย่างชิคๆ
นักเรียนแต่ละคนทำโปรเจคกันไปคนละทิศละทาง
(Stephen Hawing ก็ถูกสอนแบบนี้)
แต่มันเป็นการฝึกเรื่อง independent ที่จบไปก็ต้องเจอ
.
แบบนี้ก็สนุกนะ ทิศทางของงานวิจัยก็คุยได้
ว่าอยากให้เป็นแบบไหน แต่ต้องโน้มน้าวอาจารย์ให้ได้
ว่าทำไมแบบนี้น่าทำ ทำไมจะซื้ออันนั้นอันนี้มาทำวิจัย
จบท้ายด้วยว่า อ ซื้อไอเดียนี้หรือเปล่าคะ
พร้อมแบมือขอตังค์
.
ดูเหมือนการเรียนจะเป็นแบบคิดเอง เออเอง
แต่ที่จริงก็มีหลายๆอย่างที่สนับสนุนให้เองเองได้
ทั้ง journal club, lab meeting,
สังคมพี่ๆน้องๆในแลปและสำคัญสุดคือ
อาจารย์ที่ปรึกษา
.
คิดว่ามันคงเป็นเรื่องของสไตล์ที่ถ่ายทอดกันมาเรื่อยๆ
จากรุ่นสู่รุ่นของการให้คำปรึษา
ซึ่ง อ แต่ละคนก็แตกต่างกัน
ฝรั่งถึงขั้นใช้คำว่า Scientific Lineage เลย
เคยเจอเว็บไซด์ที่นับลูกๆหลานๆทางวิชาการของนักวิจัยดังๆด้วย
.
ถึงกระนั้นอาจารย์ที่ปรึกษาก็ไม่ใช่พระเจ้า
ในเมื่อเรากำลังดีลกับการหาองค์ความรู้ใหม่
ที่ก็คงไม่มีใครนอกจากพระเจ้าที่รู้ว่า
การทดลองนี้งานวิจัยนี้จะไปไกลได้แค่ไหน
หรือทำยังไงถึงจะไขปริศนานี้ได้
นอกจากนีความรู้บนโลกยังกว้างใหญ่ไพศาล
มากมายจนใครจะไปรู้ ไปจำได้ทุกอย่าง
.
“เรื่องนี้ ผมไม่มีความรู้”
นี่เป็นคำที่ออกจากปาก อ ที่ปรึกษาบ่อยๆ
ซึ่งเป็นคำที่เราชอบนะ ตรงไปตรงมาดี
คำนี้มักไม่ได้มาโดดๆหรอก
ส่วนใหญ่ อ ก็จะแนะหน่อยๆว่าน่าจะเริ่มยังไง
แต่ที่ไม่แนะก็มี เอ้ยยยย ยังไงนะ
ก็ต้องงมๆ หาเอง ซึ่งกระบวนการงมก็มีค่า
เพราะครั้งต่อๆไปก็งมเก่งขึ้น เร็วขึ้น
มั่วไปมั่วมาจนช่ำชอง ชำชาญว่างั้นนนนนน
.
สุดท้ายนี้การเรียนปริญญาเอกก็เหมือน
เอาคนไปติดอาวุธ ฝึกปรือให้ทำงานวิจัยได้เอง
บ่อยครั้งที่การทดลองไม่ได้เป็นไปตามคาด
อย่างเดียวที่ต้องรีบเลยคือ ล้มแล้วต้องลุกให้ไว
วางแผนให้ดีดี ถ้าแผนดีแต่ยังพังให้โทษ biology อย่าโทษตัวเองงง นักวิจัยไม่ใช่พระเจ้า ~~~
.
จนผ่านมาถึง 6 ตอนที่เขียนมา
ศาสตร์วิจัยนี้เป็นอะไรที่ลึกซึ้ง
และศาสตร์นี้ต้องการ mentor
ที่ไม่ใช่แค่ชี้นำทางวิชาการ แต่รวมไปถึงเรื่องอื่นๆด้วย
รู้สึกโชคดีที่ได้มาเป็นนักเรียนของอาจารย์
ก็เลยทำของขวัญที่ระลึกสวยๆให้อาจารย์
แม้ว่า 99.99% จะเป็นการก่อกวนบาทาอาจารย์เป็นส่วนใหญ่ อิอิ.ตอนอื่นๆ ของการบุกดงวิจัยที่เคยเขียนไว้- ตอนที่ 0: สะเปะสะปะกว่าจะมาถึงเส้นทางวิจัย
- ตอนที่ 1: ค่ายไม่เล็กที่มีแต่ผู้ใหญ่ใจดีปูทางเด็กบ้านนอกสู่เส้นทางวิจัย
- ตอนที่ 2: ตรึงใจเด็ก ม.ปลาย เปิดโลกวิจัยที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์
- ตอนที่ 3: ตะลุยดงวิจัย ทำไมวิจัยมีมะเร็งมีหลายแบบจัง
- ตอนที่ 4: รู้จักมะเร็งแบบเหนือชั้น เหนือพันธุกรรมคืออะไร
- ตอนที่ 5: เมื่อฉันรักวิทยาศาสตร์ อย่างที่ไม่สนมะรงมะเร็งอะไรทั้งนั้น -
ฝันร้ายของวันแห่งความรัก
ฝันร้ายของวันแห่งความรัก
วันแห่งความรักเป็นวันที่มิสจะเก็บตัวอยู่ในบ้านเหม็นความรักของคนมีคู่?ไม่ใช่~~~~~.มิสแพ้ดอกไม้มากกกกกกวันนี้เป็นวาเลนไทน์เป็นวันแห่งดอกไม้นานาชนิดกระทั่งใน รพ ก็ไม่เว้น.เมื่อ 2 ปีก่อนมิสไปหาหมอตามนัดนัดวันวาเลนไทน์พอดีเลยหลังจากหลบดอกไม้อย่างดโชกโชนมาทั้งวันสุดท้ายก็แพ้จนได้.สรุปวันนั้นเข้าห้องฉุกเฉินแล้วก็ไม่ได้กลับบ้าน แฮร่~~~.เรื่องแพ้ดอกไม้นี่มีประสบการณ์เยอะมากทั้งแพ้แบบปั่นๆจักรยานเป็น 100 กม.อยู่ๆก็หอบ หาสาเหตุ คุยกับพี่ในก๊วนจนเจอว่าแถวนั้นปลูกดอกไม้เป็นทุ่งเลย.คือมิสแพ้ทั้งที่ไม่เห็นตัวดอกไม้เกสรลอยมาก็สัมผัสได้ยิ่งกว่าคุณริวจิตสัมผัสก็มิสหอบหืดปอดสัมผัสนี่แหละจ้า ><