- formatting
- images
- links
- math
- code
- blockquotes
- external-services
•
•
•
•
•
•
-
Fight Against Cancer 1932
Fight Against Cancer
This image is an old one, from 1932.
It's truly an epic depiction of humanity's fight against cancer.
A red warrior holding a sword and shield confronts a mass of black tentacles (cancer).
This powerful image symbolizes the fight against cancer.
Besides being the cover of the Cancer Genetics: History & Consequence conference, this image was also used in the journal Science Translational Medicine back in 2011.
The article in that Science journal issue was "Integrating Cancer Control into Global Health."
It discussed the role of the National Cancer Institute's (NCI) in addressing the increasing cancer burden in developing countries (including Thailand), emphasizing the importance of research, collaboration, and other things.
The long-standing global cancer saga – how will it be studied going forward?Art Information:
Title: Original Vintage Poster Fight Against Cancer
Publisher: France (1932)
Illustrator: Marc Saint-Saens
#มะเร็ง #งานวิจัยมะเร็ง #ยารักษามะเร็ง #Cancer #NoCancer #CancerResearch #cshhist25
Thank this picture from Cold Spring Harbor Meeting
Let's talk cancer research! I believe in the power of sharing. Blogging & sharing thoughts helps me learn & stay inspired.
🌸 My blog (English): The Whispers of Biology (https://kuchikinamthip.github.io/ ).
🍀 FB (Thai): NO CANCER THAILAND (https://www.facebook.com/NoCancerTH/). All are welcome! -
Popular Computational Biology Language with R - [Proj:My Computer Workbench]
-
Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 0
Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 0
จากโพสก่อนที่เล่าถึงเส้นทางการวิจัยมะเร็ง
ที่เริ่มเรื่องมาตั้งแต่ ม.5 - ป.เอก
ตอนที่ 0 นี้คือเรื่องความสะเปะสะปะ
กว่าจะมาถึงเส้นทางวิจัยและวิทยาศาสตร์
.
เรื่องมันเริ่มมาจากโจทย์แค่ว่า
ทำไมยายถึงต้องตายเพราะมะเร็ง
ทำไมหมอช่วยยายไม่ได้
ถ้ามีทางดีดีที่ยายไม่ตาย
เราก็คงไม่ต้องมานั่งร้องอยู่อย่างนี้
นั่นหล่ะความคิดเด็ก ม.2
.
ตอนนั้นก็กวาดทุกอย่างที่ขวางหน้า
หรือต้องเป็นหมอศัลย์นะ?
หรือว่าต้องโภชนาการต้านมะเร็ง?
หรือว่าต้องแบบหมอสมหมาย ทองประเสริฐ?
สิงซีเอ็ดบุ๊คสุดๆ อ่านฟรีบ้าง ซื้อบ้าง
(มัน 18 ปีก่อน เน็ตยังไม่แพร่หลาย 555)
.
พ่อกับแม่ก็พยายามสนับสนุนนะ
คือเค้าจะเป็นสายแบบเป็นแบ็ค
จะไม่ชี้นำ แต่ถ้าดีดจะไปทางไหน
จะช่วยดัน มันหรือถีบนะไม่แน่ใจ
.
ช่วง ม.2 แม่ก็พาไปเจอรุ่นพี่ที่ทำงานเก่าของแม่
คุณลุง ดร.วิรัตน์ คำศรีจันทร์
ที่มาบรรยายเกี่ยวกับงานวิจัยอะไรสักอย่าง
จำได้เลยว่าใส่ชุดยุวกาชาด
ไปนั่งฟังบรรยายซึ่งก็น่าจะไม่ค่อยรู้เรื่องด้วย
แล้วก็ไปทานข้าวต่อกับวิทยากร
ตอนนี้จำอะไรไม่ได้เลยว่าคุยอะไร
จำได้อย่างเดียวคือ
งานวิจัยนี่ดูเป็นอะไรที่เป็นเหตุเป็นผลแฮะ
.
ช่วงนั้นก็ดูข่าวพระราชสำนัก
ของเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
คือต้องลุ้นว่าวันนั้นจะมีข่าวของท่านรึป่าว
ถ้ามีบางที่ทำนู้นนี่อยู่ ก๋ง อาม่า
จะรีบตะโกนเรียกให้มาดู
เราก็จะมานั่งจ้องหน้าทีวีพร้อมสมุดจดเล่มนึง
ถ้าวันนี้ที่กำลังเรียน ป เอก อยู่
ได้ย้อนกลับไปอ่านคงฮา นี่จดอะไรไว้!!!
.
ในวันเด็กๆแบบนั้น ภาษาง่ายๆ
อย่างที่ถ่ายทอดในข่าวพระราชสำนักดีมากๆเลยนะ
บางทีบางจุดเวลาเรา
ไม่ได้ต้องการเข้าในเนื่อหาลึกซึ้งหรอก
เราแค่ต้องการแรงบันดาลใจหน่ะ
นาทีนั้นวิทยาศาสตร์ดูเป็นสิ่งที่ก้าวหน้าและเต็มไปด้วยความหวัง
.
ตัดภาพมาที่อีกจุดสำคัญตอน ม.4
แม่คงเห็นว่ามันยังไม่หยุดบ้า
ก็เลยส่งไปเพื่อนสนิทแม่ที่ทำงานหน่วยมะเร็งของ รพ.มอ.
ก็เอาเลยฉายเดี่ยวไป รพ มอ
ไปถามทางงมๆดมๆให้ถึงหน่วยเค้า
ที่บ้านก็จะทรงถีบแบบนี้ ที่ใครไม่สบายพาไปวนได้รอบ รพ ทีแบบนี้เตะให้ไปคนเดียวส่งแค่หน้า รพ เหมือนพ่อแม่เตี๊ยมกันมา =..= แล้วแม่ไม่อยากพบเพื่อนเอ่อะ งงไต
.
อิฉันก็ไปเจอน้าเค้า ถามนู้นนี่
จำได้ว่าคำถามมันก็ออกมาทางแนวๆชอบวิจัยแล้วแหละ
เริ่มสนใจว่ามะเร็งถ่ายทอดทางพันธุกรรม บลาๆ
แต่โดนถามกลับว่าลองเริ่มต้นจากการดูแลสุขภาพ อาหารการกินให้ห่างไกลมะเร็งดูมั้ย
หลังจากนั้นก็กลับมาต้มผักอยู่พักนึง
มีนั่งรถตู้ไปเข้าฟังบรรยายพวกโภชนาการต้านมะเร็งที่หาดใหญ่ด้วย
เด็กสุดในงานประชุม+หน้าตาคงมึน มีพี่ใจดีพามาส่งคิวรถตู้กลับนครฯ 5555
.
กลับมาก็ตอบตัวเองได้ว่า
น้องไม่ชอบบบบบบบ
น้องไม่อินนนนการต้มผัก
.
หลังจากนั้นก็เลยตามหา
อะไรที่เป็นเหตุเป็นผล
อะไรที่มีคำอธิบาย
อะไรที่มีการพิสูจน์
อะไรมีความหวัง มีความก้าวหน้า
เหลือคำตอบเดียวหล่ะ
วิจัย!
.
จุดเริ่มต้นของวิจัยที่น่าหลงใหล
เริ่มมาจากนั่งคุยกับคุณลุง ดร.วิรัตน์
ในห้องอาหาร ที่ทำงานเก่าของแม่
.
ตอนนั้นถึงจะเริ่มรู้ตัวว่าชอบงานวิจัย
แต่มันคือเวิ้งใหม่ที่ใหญ่มากกกกก
งานวิจัยกว้างมากกกก
แต่อยากเป็นหมอด้วยอยู่นะ
จะมีมั้ยนะหมอที่เป็นนักวิจัยด้วยนี่
.
ผ่านมา 18 ปี กำลังจะสอบจบ ป.เอก
ก็มาใช้ที่ทำงานเก่าของแม่เป็นสถานที่สอบ
รู้สึกอุ่นใจที่จุดจบวนกลับมาที่จุดเริ่มต้น
แถมอาจารย์ที่ปรึกษาจะบินมาสอบให้เองด้วย
ตอนอื่นๆ ของการบุกดงวิจัยที่เคยเขียนไว้- ตอนที่ 0: สะเปะสะปะกว่าจะมาถึงเส้นทางวิจัย
- ตอนที่ 1: ค่ายไม่เล็กที่มีแต่ผู้ใหญ่ใจดีปูทางเด็กบ้านนอกสู่เส้นทางวิจัย
- ตอนที่ 2: ตรึงใจเด็ก ม.ปลาย เปิดโลกวิจัยที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์
- ตอนที่ 3: ตะลุยดงวิจัย ทำไมวิจัยมีมะเร็งมีหลายแบบจัง
- ตอนที่ 4: รู้จักมะเร็งแบบเหนือชั้น เหนือพันธุกรรมคืออะไร
- ตอนที่ 5: เมื่อฉันรักวิทยาศาสตร์ อย่างที่ไม่สนมะรงมะเร็งอะไรทั้งนั้น -
หอบหืดแบบโหดๆ ก็จบปริญญาเอกได้นะ ตอนที่ 1: แรงใจ
หอบหืดแบบโหดๆ ก็จบปริญญาเอกได้นะ
ตอนที่ 1: แรงใจแปลงร่างจาก dog หมา เป็น ดร. แล้ว~~~กรุณาเรียกฉันว่าดร. มิสหอบหืด (Dr. Miss Asthma).มิสว่ามันค่อนข้างเกินความคาดหมายการจบ ป เอก ในครั้งนี้.เรียกว่า ถ้าป่วยขนาดนี้เรียนไม่จบ ก็คงไม่มีใครว่าอะไรยกเว้นทุนการศึกษา 555555.วันนี้มิสอยากจะแชร์เรื่องที่มิสคิดว่าสำหรับที่สุดในการเอาตัวรอดผ่านช่วงเวลาที่หอบโหดๆงานวิจัยก็ต้องทำ เล่มวิทยานิพนธ์ก็ต้องเขียน.อันดับ 1 เลย มิสว่า….มันคือ แรงใจ.ที่เค้าว่าใจเป็นนาย กายเป็นบ่าวคือเรื่องจริงมิสมองว่าเราไม่สามารถควบคุมทุกอย่างในชีวิตได้แล้วเราจะมาปวดหัวกับเรื่องที่คุมไม่ได้ไปเพื่ออะไร.มิสปล่อยให้เรื่องการรักษาเป็นหน้าที่ของหมอเลยนะไม่ต้องคิดแทนหมอ แค่ว่าหมอสั่งอะไรก็ทำหมอให้กินปลากิน ตากแดดบ่อยๆ ก็ตากเดินไหวก็เดิน เดินไม่ไหวก็นอนนนนน.เรื่องคนนู้นคนนี้ไม่เข้าใจมิสก็เจอ มิสว่าคนเป็นหอบหืดทุกคนเจอหอบหืดเป็นโรคไม่มีแผลและโรคไม่มีแผลคือโรคที่เจ็บปวดปวดจากตัวโรคแล้ว ยังปวดใจจากคนที่ไม่เข้าใจอีกมิสว่าการอธิบายเรื่องสำคัญบอกเค้าไปตรงๆว่าเราเป็นยังไง เหนื่อยหรืออึดอัดไม่ต้องคาดหวังหรอกว่าเค้าจะเข้าใจแค่ได้สื่อสารไปดีกว่าเราอึดอัดและทนไว้.มิสโชคดีมากที่ แม่เป็นพยาบาลน้องเป็นหมอ เค้าก็จะพอเข้าใจง่ายหน่อยแต่ไม่มีอะไร 100% นะทุกคน.ส่วนสุดท้ายคือเรื่องเรียนต้องบอกเลยว่าปริญญาเอกไม่ใช่เรื่องง่ายๆคนที่เข้ามาเรียนไม่ใช่ทุกคนจะจบที่มิสเห็นแทบจะครึ่งๆที่ลาออกไปกลางคันมิสโชคดีที่ชอบทำวิจัยมากกกกคือมิสสนุกกับมัน ถ้าผลวิจัยไม่ได้ดั่งใจ มิสก็ไม่โทษตัวเองงานวิจัยที่มิสทำคือต้องวุ่นกับการเลี้ยงเซลล์มะเร็งนั่นแปลว่ามิสต้องทำแลป ช่วงที่มิสสุขภาพดี มิสทำแลปตุนไว้เยอะมาก.ถึงช่วงที่หอบหืดแย่มากจนนอน รพ ไป 16 ครั้งICU (MRCU) ล้วนๆ ใส่ท่อช่วยหายใจไป 7 ครั้งทั้งหมดเกิดขึ้นใน 3 ปี.3 ปีนี้เป็นช่วงที่มิสต้องกลับมาพักที่บ้านต่างจังหวัดกอบโกยงานวิจัยทั้งหมดเป็นงานเขียนเพื่อใช้จบ ป เอกช่วงแรกมันยากมากเลย มิสร้องไห้ทุกวัน เป็นแบบนั้นอยู่เป็นเดือนๆจนสุดท้ายทำใจได้.ช่วงนั้นเป็นช่วงชีวิตที่มิสเหลือที่ยึดเหนี่ยวอยู่ไม่กี่อย่างเป็นคนที่มิสคิดว่ายังเชื่อว่ามิสทำได้นั่นคือ ครอบครัว อาจารย์ที่ปรึกษา หมอเจ้าของไข้และเจ้าของทุนการศึกษา.มิสได้รับทุนหลวงมาและเวลาทุกนาทีมิสต้องทำงาน ตั้งใจเรียนให้คุ้มที่ทุนช่วยเหลือมิสไม่งั้นมิสจะรู้สึกผิด.ครอบครัวเป็นส่วนที่สำคัญมากตัั้งแต่เฝ้าไข้ หิ้วไปห้องน้ำตอนเดินไม่ไหวและอีกมากมายนับไม่หมด.อาจารย์หมอ ช่วยมิสทุกทางเพื่อให้ได้การรักษาดีที่สุด เร็วที่สุด.สุดท้ายคืออาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์สิ่งเป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตการเรียน ป เอกและชีวิตหลังจากนี้เลยนะมิสโชคดีที่ได้เรียนกับอาจารย์ที่ดี สอนมิสทั้งเรียนเรื่อง เรื่องใช้ชีวิตและสนับสนุนมิสในทุกด้านที่มิสสนใจ.ตอนนี้มิสสอบจบมาแล้ว ก็ยังโดนอาจารย์ด่าเรื่องบ้างานและต้องพักผ่อนอยู่ 5555 จะบ้าตายยยย อยากทำนู้น ทำนี่กองพะเนิน.มิสเป็นกำลังใจให้แม่ๆที่มีลูกเป็นหอบหืดทุกคนนะคะ รวมถึงน้องๆวัยเรียนและทุกคนที่อยู่ในวัยทำงานด้วย
.มิสทำเพจเล่าเรื่องเกี่ยวกับงานวิจัยมะเร็งแบบสนุกๆ เข้าใจง่ายๆไว้ด้วยอันนีเลยเพจ NO CANCER : เพราะวิจัยมะเร็งนั้นลึกซึ้ง ของมิส.