- formatting
- images
- links
- math
- code
- blockquotes
- external-services
•
•
•
•
•
•
-
Namthip × งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 3
Namthip × งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 3
.เท้าความตอนที่แล้ว หลังจากที่จุดเปลี่ยนคือการขอเลื่อนสอบเพื่อไปค่าย Thai Sci Campได้ไปดูแลปที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ (CRI) 2 ชม.ทั้งหมดเกิดขึ้นช่วงประมาณ ม.5 แล้วอ.ที่ CRI ก็บอกว่าไว้เรียนปี 3 ค่อยกลับมา CRI ใหม่.ตอนนั้นรู้สึกว่างานวิจัยน่าจะมีอะไรดีดีที่ทำให้คนไข้รอดจากมะเร็งได้มากขึ้นหลังจากหาข้อมูลเรื่องมะเร็งมาหลายๆด้านก็พบว่าวิทยาศาสตร์และงานวิจัยน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดช่วงหลังจากนั้นก็มีพยายามจะเข้าโครงการนู้นนี่ที่เป็นแนวๆวิทยาศาสตร์ที่น่าจะทำใหรู้จักงานวิจัยมากขึ้นว่ามันคืออะไร.คิดโครงงานขึ้นมาชิ้นนึง คัดเลือกผ่านรอบแรกของโครงการนึงไปแบบงงๆเดินทางไปสัมภาษณ์แบบโคตรงงและทุลักทุเลในขณะที่เพื่อนคนอื่นๆ มีโน้ตบุคพร้อมงานนำเสนอสุดอลังการที่ชนะเลิศโครงการอื่นมาแล้วและก็ต้องยอมรับว่าหลายๆอย่างไม่ได้เอื้ออำนวยนักคุณไม่ได้ไปต่อ แต่นี่ก็อาจจะถือว่ามาไกลมากแล้วจนถึงตอนนี้ที่เรียน ป เอก อยู่ก็รู้สึกว่าที่ผ่านมาเจอกลีบกุหลาบบ้างไมยราบบ้าง(ซึ่งดูเหมือนจะมากกว่า 555).อย่างไรก็ยังไม่เลิกบ้ายังคงแถกตัวไปตามความฝันต่อไป แม้จะพังๆไปบ้างก็ตามตอน ม.6 อยากเรียนหมอ อยากเป็นหมอที่ทำวิจัยมะเร็งมีอาจารย์หมอนักวิจัยคนนึงเป็น idol(สุดท้ายได้ไปฝึกงานกับ อ ท่านนี้ด้วย).ตอนสอบเข้ามหาลัยก็สอบหมอนั่นแหละ แต่ไม่ติด 5555ก็เลยเรียนเภสัช ไม่อยากเป็นเภสัชเลยคิดว่าคงไม่ชอบถ้าต้องนั่งจ่ายยาที่ รพ ทั้งวันไม่รู้ว่าเภสัชทำอย่างอื่นได้ด้วยแต่พอรู้ว่าเภสัชมีวิจัยยาก็เริ่มสนใจขึ้นมา.ก็เรียนเภสัชที่ ม.วลัยลักษณ์เข้าไปเรียนปีแรก ก็เอาเลยจ้า ไปบอกอาจารย์เลยว่าอยากไปฝึกงาน CRIในใจคือทุกอย่างพร้อมแค่ให้เรียนปี 3 กับมีเอกสารจากมหาลัย.ระหว่างนั้นก็บุกมาก ด้วยความที่เป็นนักเรียนโครงการโอลิมปิกวิชาการทั้งเคมีและชีวะของ ม.วลัยลักษณ์ อยู่ก่อนแล้วก็ติดต่ออาจารย์ที่รู้จัก อาจารย์ก็แนะนำต่อๆกันมีหลายท่านมากที่กรุณามาตั้งแต่มัธยม.- อ.สุภาภรณ์ ดอกไม้ศรีจันทร์ ที่ได้แวะไปก่อกวน อ ที่ห้องทำงานบ่อยครั้งเลย เรียกว่าเปิดโลก bioinformatics มาก- อ.จิตรบรรจง ตั้งปอง แรกๆมักจะแนะนำตัวกับ อ ว่าเด็กมัธยมที่เคยโทรไปปรึกษา อ เรื่องงานวิจัยมะเร็ง ตอนมัธยมมีครั้งนึงไปหา อ ที่ห้องพัก ก็พบว่าห้องใหญ่จังถึงได้รู้จากป้ายหน้าห้องว่า อ เป็นคณบดี >< วันนั้นเป็นการพูดถึงงานวิจัยมะเร็งอีกครั้งนึงที่จำไม่เคยลืม แล้ว อ ก็ได้แนะนำให้รู้จัก อ.วรางคณา จุ้งลก ได้ไปดูแลปเลี้ยงเซลล์ของ อ เค้าด้วย แถมยังได้รู้จักกับพี่โบว์ พี่ ป.เอก ที่ฮามากคือเราเคยเจอกันที่สนามบาสมาก่อน คราวนี้เลยสนิทเลยหล่ะ- อ.วรพงศ์ ภู่พงศ์ อาจารย์ทำงานเกี่ยวกับสารสกัดธรรมชาติ ได้ไปสิงแลปอยู่พักนึง ไปครั้งแรก อ บอกว่าให้ไปหาพี่รอน เราก็แบบ หูวววว พี่ชื่อรอน แบบรอน วีสลี่ งี้แน่เลย ท่องบทสนทนาภาษาอังกฤษไปเลยจ้า ปรากฏพี่อิมรอนเป็นคนไทย โป๊ะหนึ่งฉึก แลปนี้ครื้นเครงไม่เว้นวันหยุด วันปีใหม่ ยิ่งดึกยิ่งคึก 5555 มีเพลงภาษาอาหรับคลอๆไปด้วย มีทั้งพี่ๆ ป โท ป เอก คือพี่รอน พี่หญิงและอาจารย์ให้ก่อกวนตลอดเวลา ตอนนั้นตึกนวัตกรรมเปิดใหม่ๆเลย เข้าแลปนี่ต้องสแกนนิ้วมือด้วยอย่างหรูอ่ะ เป็นช่วงนี้ดีดมาก ช่วงนั้นเรียนปี 3 วิชาเรียนแลปของเภสัชก็เยอะอยู่แล้ว บางวันทำแลปสกัดสารเสร็จต้องเขียนรายงานของแลปที่เป็นวิชาเรียนต่อจนเกือบเช้า พอเช้าก็ไปทำแลปอีกวิชานึง จนคุยกับคู่หูทำแลปว่าเราควรจะนอนกันบ้างหล่ะ.เวลาเรียนล่วงเลยมาถึง ปี 3ก็ได้กลับไปดูงานที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ตามที่ตั้งใจไว้ตอนนั้นอาจารย์ที่ปรึกษา อ.ปาจรีย์ช่วยเรื่องเอกสารทุกอย่างเลย รักจารย์มากมายอ. บุษบรรณ สอน sterile เทคนิคเปิดห้องแลปเทคโนเพื่อจะเช็ดตู้ laminar air flowคือเราตื่นเต้นกระทั่งเช็ดตู้ตัดภาพมาตอนนี้ ขี้เกียจเช็ดตู้สุดๆ.อ เกรียงศักดิ์ ที่ CRI ให้ไปดูงาน 5 วันตอนแรกก็รู้สึกว่าแป๊ปเดียวจังเลย T^Tตั้งตาคอยมาตั้งหลายปี แงงงก็แคะกระปุกเอาตังค์เก็บเป็นทุนไปดูงานก็ขอพักกับหอเพื่อน และซื้อข้าวโรงอาหารม เกษตร ข้าวราคาถูกมากกกกอ ทัศนี เตือนไว้ว่าระวังข้าวที่ CRI ไว้เพราะไม่อิ่มแน่ๆ แล้วคือจริงงงได้เจอพี่อัง แลปชั้นใกล้ๆ เพราะ อ ทัศนีฝากฝังไว้แล้วก็เป็นครั้งแรกที่รู้จักขนมอร่อยๆแถวนั้น.นับเป็นช่วงชีวิตที่ adventure มากกับรถเมล์ กทม.แต่ที่เด็ดกว่าคือรถไฟหน้า CRI แบบโอ้วโหววววไฟขาวๆ มาแต่ไกล วิ่งแทบไม่ทัน.กลับมาเรื่องงานวิจัยมะเร็ง 555เป็น 5 วันที่คุ้มค่ามาก ได้ดูตั้งแต่เลี้ยงเซลล์ ไปจนถึงการตรวจหาโปรตีนเดินตามอาจารย์และพี่ๆคนอื่นแทบทั้งวันทั้งวันได้คิด ได้ถาม แต่โดยมากถามไปก็จะโดนอาจารย์ถามกลับ 555แต่ละวันผ่านไปแบบให้สมองไปเยอะมากปวดหัวและปวดขามากไปพร้อมๆกันหลังจากดูงานครบเวลาอาจารย์ยังเชียร์ให้ไปดูงานที่อื่นอีกอ ปริ้นข้อมูลแลปนู้นแลปนี้มาให้เป็นปึกๆเลย.หลังจากใช้เวลาค้นหาตัวเองอยู่พักใหญ่ก็เริ่มรู้สึกแล้วว่าอะไรเป็นสิ่งที่ทำให้หัวใจเราลิงโลดอาจจะเป็นมะเร็งในมุมของงานวิจัยก็ได้ที่เป็นคำตอบ.แต่ก็ถึงเวลาที่ต้องกลับมาเรียน ป ตรี ต่อให้จบด้วยทั้งยังเป็นช่วงที่คณะมีโครงการ Mini projectที่ทำให้ต้องคิดหนักว่าตกลงเราชอบอะไรกันแน่.ในช่วงเวลาที่ต้องตัดสินใจว่าจะเรียนจบเภสัชแล้วจะทำอย่างไรต่อกับอนาคตก็เป็นช่วงที่อาจารย์ที่ปรึกษาเป็นคนที่มีผลต่อการตัดสินใจมากที่สุดในช่วงเวลาที่เป็นอีกหัวเลี้ยวหัวต่อนึงของชีวิตไว้ค่อยเล่าตอนต่อไปหล่ะกัน ตอนนี้ยาวมากๆแล้ว.ตอนอื่นๆ ของการบุกดงวิจัยที่เคยเขียนไว้- ตอนที่ 0: สะเปะสะปะกว่าจะมาถึงเส้นทางวิจัย
- ตอนที่ 1: ค่ายไม่เล็กที่มีแต่ผู้ใหญ่ใจดีปูทางเด็กบ้านนอกสู่เส้นทางวิจัย
- ตอนที่ 2: ตรึงใจเด็ก ม.ปลาย เปิดโลกวิจัยที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์
- ตอนที่ 3: ตะลุยดงวิจัย ทำไมวิจัยมีมะเร็งมีหลายแบบจัง
- ตอนที่ 4: รู้จักมะเร็งแบบเหนือชั้น เหนือพันธุกรรมคืออะไร
- ตอนที่ 5: เมื่อฉันรักวิทยาศาสตร์ อย่างที่ไม่สนมะรงมะเร็งอะไรทั้งนั้นปล. ภาพนี้ ดูน่าเชื่อถือมากอ่ะ ไม่เหมือนตัวจริง 55555 -
Namthip × งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 2
Namthip × งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 2
เท้าความตอนที่แล้ว
สุดท้ายก็กล้าเดินเข่าเข้าไปขอ e-mail อาจารย์
.
หลังจากนั้นก็ดีดอย่างหนัก 555
จากวิทยาศาสตร์ที่เรียนไปวันๆ
กลายเป็นน่าสนุกขึ้นมาทันตา
เคมีเกรด 2 ที่เคยได้มาก็กลายเป็นเกรด 4
จนติดโอลิมปิกวิชาการเคมี
การอ่านหนังสือตั้งแต่นั้นก็ไม่ใช่แค่เอาไปตอบข้อสอบอีกต่อไป
แต่คือการอ่านให้เข้าใจและพยายามคิดต่อ
โผล่ไปห้องพักครูเคมีบ่อยมาก
พร้อมกับแบกหนังสืิอไปด้วย
คุณครูคนนั้นคือ อ.สุคนธ์ มณีฉาย
หนังสือที่ชอบตอนนั้นคือหนังสือ
ของ อ.กฤษณา ชุติมา ซึ่งเป็นหนังสือที่ดูจะอธิบายละเอียดและลึกซึ้งกว่าระดับมัธยมมาก
นับแต่นั้นมามาตราฐานของการสอบจึงไม่ใช่คะแนนแต่เป็นความเข้าใจ ถึงจะได้คะแนนดีแต่ไม่เข้าใจก็ตามไปถามครูถึงห้อง ><
บางครั้งหนังสือ 2 เล่มก็เขียนไม่เหมือนกัน
และครูก็บอกว่าทำไม แบบนี้หล่ะที่น่าสนุก
.
E-mail ส่งไปถึง อ.ชิษณุสรร
อ ตอบกลับมาเป็นภาษาอังกฤษในทุกครั้ง
และทุกครั้งเช่นกันที่ต้องเปิดดิกชันนารีแปลทุกคำ
.
มีครั้งนึงอยู่ในค่ายโอลิมปิกวิชาการ
ยืมคอมเพื่อนเปิด เจอศัพท์ที่ไม่รู้
(มันคือคำว่า appointment)
ก็เดินไปถามเพื่อนคนนู้นคนนี้ว่านี่แปลว่าอะไร
"อาจารย์บอกว่าถ้ามาที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ก็นัดอาจารย์ได้"
.
หลังจากที่ติดต่อ อ ผ่าน e-mail สัักพัก
ด้วยภาระงานของ อ ที่มาก
อ ชิษณุสรร เลยให้ อ นักวิจัยท่านอื่นดูแลต่อ
ซึ่งก็คือ อ.ดร.เกรียงศักดิ์ เลิศประภามงคล
.
อ เกรียงศักดิ์น่ารักมาก อ e-mail กลับมาเพราะเราเงียบหายไป พร้อมส่งบทความเกี่ยวกับมะเร็งเป็นภาษาไทยมาให้อ่าน
.
จากนั้นเลยได้ติดต่อกับ อ เกรียงศักดิ์้เรื่อยมา
จนช่วงปิดเทอม ม.5 ขึ้น ม.6
ได้ไปที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ (CRI) ครั้งแรก
เพราะต้องเดินทางผ่าน กทม ไปธุระจังหวัดอื่น
และไปคนเดียว โดยมีเพื่อนเเม่มารับ
คือเลิ่กลั่กตั้งแต่นั่งรถทัวร์คนเดียวครั้งแรก
.
ได้อยู่ที่ CRI แค่ 2 ชม.
แต่ถึงตอนนี้ก็ยังจำอะไรๆได้มากมาย
เหมือนเวลาเพิ่งผ่านไปไม่นาน
.
อ บอกว่าให้ไปที่ตึกโดมสูงๆ
(ตอนนั้นตึกนั้นคือสูงที่สุดหล่ะ)
เข้าไปต้องแลกบัตรและมีการตรวจความปลอดภัยแน่นหนามาก
อ ต้องลงมารับที่ชั้นล่างด้วย ไม่งั้นเข้าตึกไม่ได้
.
ตึกโดมที่สูงนั้นเป็นทรงกระบอก
ตรงกลางเป็นช่องว่างที่เห็นทุกชั้น มีลิฟต์แก้วใสๆ
หูยยยย เพิ่งเคยเห็นลิฟต์ใสๆ ตึกสูงๆ ขนาดนี้
ด้านล่างเป็นลานหินอ่อนและโต๊ะสีขาวราวกับสวนยุโรป
บนสุดของตึกนี้เป็นกระจกแปลกตากว่าชั้นอื่นๆ
.
ตอนขึ้นลิฟต์ก็พยายามกระดึ๊บๆตัวไปดูแถวกระจก สูงจังและรู้สึกบรึ๋ยๆ บอกไม่ถูก
อ บอกว่าชั้นบนสุดนั้นเป็นที่ทำงาน
ของเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
รู้สึกเหมือน my idol อยู่ไม่ไกล ><
.
ขึ้นไปถึงห้องแลปมีข้าวของมากมาย
แบบที่ไม่เคยเห็นในห้องเรียนวิชาเคมี
มีคนในเสื้อกาวน์ยาวมากมายที่กำลังทำงานกับหลอดอะไรสักอย่างหรือไม่ก็เครื่องมือแปลกๆ
รอบๆห้องติดด้วยโปสเตอร์ที่มีกราฟบ้าง ภาพบ้าง พร้อมภาษาอังกฤษเต็มไปหมด
.
อ พาไปดูเครื่องนึงตอนนั้นตื่นเต้นมาก
เปิดมาโอโห้ควันขาวๆฟุ้งเลย
มันคือตู้เย็นอันใหญ่ แช่ที่ -80 องศา
คือเด็กบ้านนอกอ่ะนะ หิมะก็ไม่เคยเห็น
ตู้เย็นที่บ้านก็แช่ขันใส่น้ำมีดอกมะลิลอยตุ๊บป่องอยู่บ้างในบางที
จำได้ว่าเผลอพูดว่า "หูวววว" ออกไปด้วย เขินจัง
.
แล้ว อ ก็พาไปแนะนำให้รู้จักพี่คนนึง
จำได้แค่ว่าเค้าเป็นนักศึกษาเภสัช
และกำลังยุ่งอยู่กระบอกตวงขนาดใหญ่น่าจะ 1-2 L
ซึ่งก็ตื่นเต้นอีกเช่นกันเพราะที่ รร มีแค่ 10 ml จิ๋วไปเลย
.
อ พาไปดูโปสเตอร์บางอัน จำได้ว่าเกี่ยวกับวนิลา
ที่มีฤทธิ์ทางมะเร็ง แล้วก็ได้กระดาษงานวิจัยมาด้วยเหมือนจะเป็นฉบับจริงเลยนะ ทุกวันนี้ก็ยังเก็บไว้คู่กับสมุดจดเล่มเดียวกันกับวันที่ไปดูแลปวันนั้น
เมื่อไม่นานนี้เพิ่งเอาออกมาอ่าน เข้าใจขึ้นตั้งเยอะ
10 ปี ผ่านไปพัฒนาขึ้นบ้างเหมือนกันนะเนี่ย ^^
.
ก่อนกลับอยู่ๆก็มีนักวิจัยคนนึงเดินเข้ามาปรึกษา อ
ยืนอยู่ตรงนั้นจะให้ไม่ได้ยินก็ทำไม่ได้
ไม่ใช่สิ่งที่สุภาพเท่าไหร่ที่ไปยืนฟังผู้ใหญ่คุยกัน
เเต่สิ่งที่ได้ยินเป็นเรื่องที่ประทับใจ
และเป็น inspiration เลยหล่ะ
เหมือนนักวิจัยคนนั้นจะติดปัญหา
มาเพื่อปรึกษาหาทางแก้ เค้ากับ อ discuss อยู่พักนึง
แล้วเหมือนจะได้ทางออกที่ดี
อ ก็แนะนำให้รู้จักว่าพี่คนนั้นเป็นหมอ
แต่ทำงานวิจัยด้วย
.
โหหหห อย่างเท่ห์รักษาคนก็ได้
งานวิจัยหายารักษามะเร็งก็ทำได้
.
อยากเก่งๆแบบนี้บ้าง (ไฟนี่ลุกโชนน)
.
เหตุการณ์วันนั้นจบลง
เวลา 2 ชม.หมดไปไวมาก เป็น 2 ชม.ที่จำไม่ลืม
วันนั้นใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์
(มันคือชุดธรรมดาที่ดีที่สุดที่มีหล่ะ ><)
เสื้อนี่เขียน "แพทย์-สาด" หราซะจนพี่หมอนักวิจัยคนนั้นทักว่าซื้อจากไหน
.
อ แนะนำให้อ่านงานวิจัยมะเร็งใน ncbi หรือ google scholar (ตอนนั้นไม่รู้ว่าทั้งสองอย่างคืออะไร ตอนนี้รู้ดีเลย 5555)
และบอกว่าไว้เรียน ป ตรี ปี 3 เเล้วค่อยกลับไปใหม่
จะได้มีพื้นฐานความรู้พอที่จะเข้าใจงานวิจัยมากขึ้น
.
แทบจะนับวันรอตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
.
ส่วนจะได้กลับไปที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์อีกหรือไม่ มีอะไรเกิดขึ้นในช่วงเรียน ป ตรี
ไว้ติดตามต่อไปนะคะ กิกิ
.ตอนอื่นๆ ของการบุกดงวิจัยที่เคยเขียนไว้- ตอนที่ 0: สะเปะสะปะกว่าจะมาถึงเส้นทางวิจัย
- ตอนที่ 1: ค่ายไม่เล็กที่มีแต่ผู้ใหญ่ใจดีปูทางเด็กบ้านนอกสู่เส้นทางวิจัย
- ตอนที่ 2: ตรึงใจเด็ก ม.ปลาย เปิดโลกวิจัยที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์
- ตอนที่ 3: ตะลุยดงวิจัย ทำไมวิจัยมีมะเร็งมีหลายแบบจัง
- ตอนที่ 4: รู้จักมะเร็งแบบเหนือชั้น เหนือพันธุกรรมคืออะไร
- ตอนที่ 5: เมื่อฉันรักวิทยาศาสตร์ อย่างที่ไม่สนมะรงมะเร็งอะไรทั้งนั้น -
Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 1
Namthip x งานวิจัยมะเร็ง ตอนที่ 1
อยากบันทึกเรื่องราววิทยาศาสตร์ตอนวัยเด็กไว้สักหน่อย
เป็นเรื่องราวที่อยากบันทึกไว้อ่านเอง
ที่จริงควรจะเขียนตั้งแต่เหตุการณ์จบลงใหม่ๆ
เพราะความรู้สึกจะยังคงสดใหม่ ภาษาก็อาจจะยังขำๆ
กลับมาอ่านก็คงจะอมยิ้มไปอีกแบบ
แต่บันทึกตอนนี้ก็ไม่สาย เพราะไม่รู้ว่าต่อไปวิทยาศาสตร์และงานวิจัย
จะยังสดใสน่าตื่นเต้นเหมือนที่คิดตอนเด็กมั้ย งั้นรีบเขียนเลยแล้วกัน
.
บันทึกนี้คือบันทึกความรู้สึกที่อยู่ในใจ
ย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน
บางส่วนอาจจะเกี่ยวข้องกับการเมืองยุคปัจจุบัน
แต่ถ้าเสพด้วยใจที่เป็นกลาง เป็นเหตุเป็นผล
เข้าใจบริบทของสังคม เวลา
และเข้าใจว่าทั้งหมดคือเรื่องราววิทยาศาสตร์ไม่ใช่การเมือง
เรื่องเล่าทั้งหมดจะไม่ชวนให้ตะขิดตะขวงใจแต่อย่างใด
ขอใช้ภาษาตามประสาเด็กๆ เมื่อสิบกว่าปีก่อนหล่ะกัน
.
ชอบวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก แต่เรียนไม่ค่อยเก่งหรอก
ชอบเล่นมากกว่า ทำของเล่นกับพ่อ
หรือวุ่นวายกับสีดอกไม้หลังบ้านที่เอามาเล่นกับกรดเบส
.
จนหลังจากที่ยายเสียชีวิตเพราะมะเร็ง
ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าทำไมหมอช่วยยายไม่ได้
ก็คิดนะว่าการแพทย์เป็นทางหนึ่ง แต่อาจจะมีทางที่ดีกว่า
เขียนๆไปน้ำตาไหลเฉย ><
พร้อมๆ กันนั้นเห็นข่าวพระราชสำนักของเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
ก่อนจะดูหนัง ก็ต้องดูข่าวพระราชสำนักก่อนทุกวัน
ก็นั่งลุ้นพร้อมสมุดจดว่าจะมีข่าวเจ้าฟ้าหญิงมั้ย
บางทีก๋ง อาม่าก็จะตะโกนเรียกให้มาดู
.
คือข่าวพระราชสำนักที่เล่าว่า
เจ้าฟ้าหญิงทำอะไรเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ในแต่ละวัน
จะถูกเล่าแบบเข้าใจง่าย ภาษาง่ายๆ
เด็กมัธยมตอนนั้นก็พอจะเข้าใจบ้าง
เจ้าฟ้าหญิงเป็น idol เลยหล่ะ
.
แต่ก็ได้แต่นั่งดูข่าวไป
โดยที่ไม่รู้จะเข้าใกล้งานวิจัยมะเร็งให้มากกว่านี้ได้ยังไง
งานวิจัยหรือพวกโครงงานต่างกันยังไงยังไม่รู้เลย
.
กระทั่งมีค่าย Thai Science Camp ครั้งที่ 2 เปิดรับสมัคร
(เรื่องเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ปี 2010 นานจัง ><)
คัดโดยเรียงความไม่ถึงหน้ากระดาษ A4
คุ้นๆว่าตอนนี้คัดยากกว่าตอนนั้นมาก
จัดที่ กทม. และมีค่าเดินทางให้
แต่ตรงกับช่วงสอบของโรงเรียนพอดิบพอดี
เพื่อนๆเลยไม่มีใครสมัครไปเลย
ส่วนเรามีพ่อเกรียน พอได้รับคัดเลือกก็ไปบอกพ่อ
ตอนนั้นคิดว่าจะไม่ไปแล้ว เพราะขาดสอบดูเป็นเรื่องใหญ่จัง
พ่อบอกว่านี่ลูกจะได้ไปค่ายของประเทศ
ไปขอครูเลื่อนสอบเลย เกรียนจริงอะไรจริง
.
ตอนไปตื่นเต้นมาก ไม่เคยไป กทม.
แม่ก็เลยไปส่ง ซึ่งก็ Taxi ยาวๆไป 555+
มาถึงแบบโหหห ตึกลูกเต๋าที่ข้างในมีลูกแก้วให้จับแล้วจะหัวฟูๆ
คือเห็นในทีวี ที่นั้นคือ อพวช.
ทั้งค่ายเจอเพื่อนคนใต้แค่คนเดียว
คือก็พูดภาษากลางนะ แต่คงทองแดงหนักมาก
เพื่อนๆทำหน้างง แต่พี่ staff ที่เป็นคนใต้นี่ขำตลอด เกิดอะไรขึ้นเนี่ย =..=
.
มีอาจารย์เยอะแยะมากมายมาบรรยาย
ตื่นเต้นไปบ้าง งงไปบ้าง บางอย่างก็แบบ
เฮ้ยยย มีแบบนี้ด้วยเหรอ
.
จำได้ว่าตอนนั้น อ.นำชัย เอารูปเซลล์มะเร็งขึ้นมา
แล้วถามว่าอันนี้รูปอะไร ขณะที่ทั้งห้องเงียบกริบ
เราตอบขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น หัวใจนี่เต้นแทบจะหลุดออกมาจากอก
เพราะอ่านเรื่องมะเร็งแบบงูๆปลาๆจากใน internet มาพอดู
เห็นรูปก็เลยจำได้แบบ ไม่ต้องเดาจากลักษณะอะไรทั้งนั้น
.
อ.พิมพ์ใจ ที่พรีเซนอะไรสักอย่างเรืองแสงที่เจอ
เพราะปลาที่ทิ้งไว้ในตู้ ตอนนั้นเลยรู้ว่า อ เป็นคนใต้ด้วย
อ.ที่บรรยายเรื่องคณิตศาสตร์ที่สุดแสนน่าเบื่อในห้องเรียน
ว่ามันเอามาเชื่อกับชีววิทยาได้อย่างน่าทึ่ง
อ.ยอดหทัย ที่เล่าเรื่องสีสวยๆ
จากดอกไม้และหมวกของราชวงศ์อียิปต์
จนลืมไปเลยว่าสีก็สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์
.
แล้วก็มีบรรยายโดย อ.ชิษณุสรร
อาจารย์บอกว่า อ ทำงานเกี่ยวกับโปรตีน
ตอน อ เริ่มพูดก็ยังงงๆว่าทำไมเรื่องโปรตีนถึงได้ดูใหญ่โตขนาดนั้น
พาลคิดถึงโปรตีนเมื่อตอน ม.4 (ตอนไปค่ายคือ ม.5)
ก็นึกได้แค่ว่าโปรตีนมีโครงสร้าง 3 มิติ เป็นส่วนประกอบของเซลล์
แล้วก็นึกถึงหมู ไก่ ปลา ถั่ว แล้วก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดี
ว่าแล้วโปรตีนจะมีอะไรมากไปกว่านี้อีกเหรอ
จนถึงตอนนี้ก็รู้แล้วว่าโปรตีนนี่แหละซุปเปอร์ไซย่าสำคัญ
อาจจะเอาไว้เขียนไว้ที่ NO Cancer: เพราะวิจัยมะเร็งนั้นลึกซึ้ง เร็วๆนี้
.
นอกจากเรื่องโปรตีนยังจำนู้นนี่นั้นที่ อ เล่าได้เยอะมาก
แต่จุดสำคัญที่พลิกชีวิตคือ สไลด์ที่ 2 (ถ้าไม่ตื่นเต้นจนจำผิดอ่ะนะ)
มันคือสไลด์ที่อาจารย์แนะนำตัวว่าทำงานที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์
ใจนี่เต้นตุบๆ เลยตื่นเต้นนนนนนนนนน แต่ก็กลัวด้วย
.
กลัวที่ว่าก็เพราะอาจารย์ดูเป็นอาจารย์ผู้ใหญ่มาก
ดูจากที่อาจารย์คนอื่นๆ ที่มาบรรยายต้องนอบน้อม
นอกจากนี้ อ ยังเป็น ศาสตราจารย์
สำหรับเด็กบ้านนอกนี่แค่ ดร. ก็กล้าๆกลัวๆแล้ว
แค่นั้นยังไม่พอยังมียศ หม่อมราชวงศ์อยู่ด้านหน้าอีก
.
เอาจริงๆ เลยคือไม่กล้าเข้าไปหา อ
ค่ายนี่มี 3 วัน คือทำใจตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย
แอบมองหาอาจารย์ทุกวันนะ แต่ไม่กล้าอ่ะ ไม่กล้า ><
.
จนกระทั่งวันสุดท้าย วันมอบเกียรติบัตร
อาจารย์ต้องมาแน่ๆ ตื่นเต้นกว่าเดิมไปอีก ><
เพราะยังคงไม่กล้าอยู่ดี
ระหว่างรอรับเกียรติบัตร ก็อธิฐานในใจ
ถ้าได้รับเกียรติบัตรจากอาจารย์จะเข้าไปคุย ถ้าไม่ได้เดี๋ยวทำใจอีกที
.
วันนั้นมี อ ยืนมอบเกียรติบัตร 3 คน
ถ้าจะให้อธิฐานเป็นจริง
ต้องนับเพื่อนว่ามันจะลง 3 ที่ใครแล้วขอสลับ
แต่เดี๋ยวๆ ไม่ได้ๆ เดี๋ยวไม่ศักดิ์สิทธิ์
มาคิดตอนนี้ทำไมตอนเด็กเราถึงได้เป็นขนาดนี้นะ 5555
.
สุดท้ายเพื่อนมันยืนกันไม่นิ่งเลย นับไม่ถูก
ไม่สลับแล้วกัน ดวงๆล้วนๆ
พอใกล้ถึงก็แบบนับหล่ะ ไม่ได้รับกับอาจารย์แน่ๆ
.
แต่เรื่องพลิกจ้า ตอนเค้าเรียกขึ้นไปเนี่ย
พี่เค้าจะเรียกชื่อ แล้วเซ็ตนั้น
มีเพื่อนคนนึงกลับบ้านไปแล้ว
เพรางั้นที่ควรจะเป็นคือคนหลังก็ร่นไปก่อน
ให้ถ่ายรูปครบ แต่มันไม่เป็นอย่างนั้นหน่ะสิ
เพื่อนคนนึงไม่ยอมเลื่อน พี่เค้าเรียกก็ไม่เลื่อน
รอบนั้นเลยมีรูปถ่ายแบบที่ อ ยืนว่างอยู่ 1 คน
.
แล้วพอรันต่อไปปรากฏว่าเราก็เลยได้รับเกียรติบัตร
กับ อ ชิษณุสรร ตามที่อธิฐานไว้
.
ก็ทำใจกับคิดอยู่พักนึง
ว่าจะเข้าไปหาอาจารย์ยังไงนะ
คืออาจารย์เป็นหม่อมราชวงศ์ด้วย
.
ถึงจุดนี้ต้องจินตนาการในบริบทเด็กบ้านนอก
ที่เคยระบายสีธงชาติอย่างตั้งอกตั้งใจ
แล้วนั่งริมถนนรอรับเสด็จพระเทพด้วย ><
.
สุดท้ายคือเดินเข่าพร้อมสมุดบันทึกเข้าไปหาอาจารย์จ้า
>< เขิน
คือตอนนั้นอาจารย์ยืนอยู่
อาจารย์ก็ใจดีมาก
อ บอกว่า “ยืนขึ้นเถอะ อาจารย์ปวดหลัง”
มัวแต่ตื่นเต้น ก็จำไม่ได้แล้วว่าสุดท้ายยืนหรือเปล่า
.
เราบอก อ ว่าสนใจงานวิจัยมะเร็ง
และเห็นว่าอาจารย์ทำงานที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์
อาจารย์ก็ถามว่ารู้ได้ยังไง เลยบอกไปว่าเห็นจากสไลด์ของอาจารย์
แล้วอาจารย์ให้ e-mail มา ซึ่งเราในตอนนั้นก็ส่งเมลล์ไม่ค่อยจะเป็น
และอาจารย์ยังบอกอีกว่า เขียนมาเป็นภาษาไทยได้
แต่อาจารย์จะตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษนะ
.
นี่หล่ะจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของ
น้ำทิพย์และงานวิจัยมะเร็ง
และนับเเต่เวลานั้น
โอกาสที่ได้มาก็เสมือนสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตไปเลย
.
รอตอนต่อไปก็ยังคงมีเรื่องราวที่นึกย้อนไป
ก็ชวนให้อมยิ้มในความเด็กๆของตัวเอง
ปล.รูปนี้ตอนเรียน ป ตรี เพราะตอนไปค่ายไม่มีรูปเก็บไว้เลย
.ตอนอื่นๆ ของการบุกดงวิจัยที่เคยเขียนไว้- ตอนที่ 0: สะเปะสะปะกว่าจะมาถึงเส้นทางวิจัย
- ตอนที่ 1: ค่ายไม่เล็กที่มีแต่ผู้ใหญ่ใจดีปูทางเด็กบ้านนอกสู่เส้นทางวิจัย
- ตอนที่ 2: ตรึงใจเด็ก ม.ปลาย เปิดโลกวิจัยที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์
- ตอนที่ 3: ตะลุยดงวิจัย ทำไมวิจัยมีมะเร็งมีหลายแบบจัง
- ตอนที่ 4: รู้จักมะเร็งแบบเหนือชั้น เหนือพันธุกรรมคืออะไร
- ตอนที่ 5: เมื่อฉันรักวิทยาศาสตร์ อย่างที่ไม่สนมะรงมะเร็งอะไรทั้งนั้น